หลังเสร็จ Cisco Thailand’s Team Meeting เมื่อราวๆสองเดือนก่อนทางพี่มะหนิงก็รีบมาส่งข่าวบอกเพื่อนๆในทีมว่าเดี๋ยวจะมี Outing โดยโรงแรมที่จะไปพักคือ Veranda High Resort MGallery ที่พัก Hi-So ในเชียงใหม่ รร.นี้ถ้าเราไปเที่ยวเองคงไม่ได้เลือกแน่ เพราะราคาโหดใช่เล่น ราคาห้องที่พักรวมอาหารเช้าจากที่ check ใน Agoda อยู่ที่คืนละประมาณ 7-8 พัน  แถมตัวรร.อยู่แถวหางดง นอกพิกัดการกินออกไปค่อนข้างไกลด้วย แต่ครั้งนี้ office เป็น sponsor ทั้งทีเราก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ลงชื่อไปกันทันที :mrgreen:

ทริปนี้นอกจากรร.จะดีงามแล้ว ที่กินที่เที่ยว ที่ทำกิจกรรมก็เด็ดไม่แพ้กัน แบบถ้าให้มากันเองกับคนรอบตัวอาจจะไม่ได้ไป ไม่เชื่อดูรีวิวด้านล่างนี้กันต่อไป ^^

Note: รูปจากในโพสนี้บางรูปขอยืมมาจากกล้องของพี่น้องในทริปทั้งจากกล้อง Mirrorless, DSLR, กล้องมือถือ  สีสันเลยจะไม่ใช่แนวเดียวกันซะทีเดียวนะ

1 Dec 2016
เริ่มจากหัวลำโพง รถไฟด่วนพิเศษ”อุตราวิถี” ตามกำหนดการคือออกจากหัวลำโพงเวลา 18:10 การเดินทางก็มาได้สะดวก คือนั่ง MRT ลงสถานีหัวลำโพงได้เลย นี่เป็นแค่ครั้งที่ 2 ในชีวิตที่ขึ้นรถไฟไทย ครั้งแรกก็ตั้งแต่ยังเด็กมากๆ เด็กจนจำไม่ได้แล้ว พอมาถึงหัวลำโพงเราก็เดินขึ้นรถไฟได้เลย จนท.เค้าจะตรวจตั๋วกันบนรถไฟ สำหรับขบวนของเราวันนี้ คือขบวนที่ 9 ตู้รถที่ 3 ขึ้นได้ที่ชานชาลาที่ 4 ตอนแรกกะว่าจะเอาของขึ้นไปเก็บบนรถแล้วจะลงมาหาหนมกินต่อ ที่ไหนได้ตู้ที่ 3 นี่เดินไกลสุดๆ คืออยู่เกือบหัวขบวนแหน่ะ สุดท้ายขึ้นแล้วขึ้นเลย ไม่เดินย้อนกลับมาแระ ^^”
รถไฟเป็นแบบตู้นอนทั้งขบวนใหม่มาก เพราะเพิ่งเริ่มใช้งานวันที่ 11-Nov ที่ผ่านมานี่เอง และทาง office ก็จัด Outing ขึ้นมาแบบ Very In-Trend ให้พวกเราได้มาลองนั่งกันเลย สภาพรถที่ถ่ายมาเลยยังใหม่กิ๊กอย่างที่เห็น ตู้ที่พวกเรานอนเป็นตู้นอนชั้น 2 ไม่มีห้องอาบน้ำ แต่มีห้องน้ำและอ่างล้างหน้า ตู้นอนชั้น 1 มีห้องอาบน้ำ แต่มีแค่ 12 ห้องเท่านั้น ไม่สามารถจุพวกเราชาว Cisco เข้าไปได้ทั้งหมด [ดูรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่] แต่จากที่นั่งมาแล้วก็รู้สึกว่าถ้ามากันหลายคนตู้นอนชั้น 2 นี่ดีกว่านะ มันเฮฮาดี เข้าไปนั่งๆนอนๆในห้องชั้น 1 ดูแคบๆ เพราะพื้นที่น้อยน่ะ ถ้ามาเป็นผู้หญิงล้วนตอนจองตู้นอนชั้น 2 ก็จองเป็นตู้หญิงล้วนได้ด้วย

บนรถไฟจะมีตู้เสบียงอยู่ด้วย ระหว่างรอรถไฟออกเราก็เดินไปสำรวจก่อน ตอนนี้ยังไม่มีคน (แต่พอช่วงทุ่มกว่าๆนี่คนแน่นมาก คิวยาวเลยแหล่ะ)  อาหารที่ขายเป็นอาหารกล่องเวฟ มีแซนวิช ขนม เครื่องดื่ม กาแฟ ของใช้จำเป็นต่างๆขายด้วย ราคาไม่แพงนะ ที่เคยอ่านรีวิวมาเค้าบอกว่านั่งๆไปจะมีรถเข็นขายอาหารมาตามตู้ด้วย แต่สุดท้ายไม่เห็นมีเลยแฮะ

ทางทีมงานจัดของกินขึ้นมาให้บนรถไฟ ทำเอาอิ่มจนไม่ได้ลองอาหารกล่องบนรถไฟเลย เริ่มตั้งแต่ข้าวเหนียวหมู (ข้าวเหนียวเจ้านี้อร่อยมั่กๆ) ขนมจีบ-ซาลาเปา ตบด้วยผลไม้อีกต่างหาก (ขอขอบคุณทีมงานทั้งพี่ up/ตุ๊กตา/อีฟ ที่ทั้งเตรียมอาหารมา พร้อมทั้งเดินแจกให้ทุกคนอย่างทั่วถึงมา ณ ที่นี้ด้วย ของกินอร่อยดีงาม เจริญพุงมากกก  😆 )
กินอิ่มแล้วยังนอนกันไม่ได้ เพราะทีม Services งานเข้าตั้งแต่เช้า ทั้ง True & AIS ที่เลือกมามีปัญหาช่วงเริ่มวันหยุดยาวได้พร้อมๆกัน 🙄  แต่ไม่มีปัญหา เพราะบนรถไฟเราก็ยังสามารถทำงานไปด้วยได้ด้วยอานุภาพ 3/4G แบบขาดๆหายๆบางช่วง
โพสท่าแก้เครียดกันหน่อย เดี๋ยวค่อยไปทำงานต่อ

พอสองทุ่มกว่าๆพนักงานเริ่มมาปูเตียงให้ ที่นอนนอนสบายดี ค่อนข้างกว้าง ทั้งชั้นบน-ล่างมีปลั๊กไฟกับไฟหัวเตียงให้ครบ แต่เปิดแอร์ค่อนข้างหนาว ควรมีเสื้อกันหนาวเตรียมมาด้วย พร้อมถุงเท้า เสียงรถไฟก็ไม่เงียบ แต่เราเสียบหูฟัง webex กล่อมไปจนหลับ แห่ะๆ พอตอนราวๆตีห้ากว่าก็จะเริ่มตื่นๆกันละ เดินไปล้างหน้า แปรงฟัน ซักแห้ง ตบกาแฟจากตู้เสบียง (กาแฟบนตู้เสบียงนี่รสชาติใช้ได้อยู่นะ)  หลังจากนั้นพนักงานก็เตรียมเก็บที่นอน เพราะใกล้ถึงแล้ว

2 Dec 2016
มาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ตอนเจ็ดโมงนิดๆ ถือว่ารักษาเวลาได้ดีเลย

จากที่นี่เดี๋ยวเราจะขึ้นรถตู้ที่มารอรับ ไปกินข้าวเช้ากันก่อน

เริ่มมื้อแรกอย่างเป็นทางการที่ร้านโจ๊กสมเพชร ร้านยอดฮิต แถวๆคูเมือง ร้านนี้เปิด 24 ชม. เลือกมาร้านนี้ด้วยเหตุผลว่ามีอาหารให้เลือกหลากหลาย ตัวร้านค่อนข้างพื้นที่เยอะ คณะเรานั่งได้พอแน่ๆ นั่งปุ๊บก็เอากระดาษมาติ๊กของที่อยากกินได้เลย ทั้งติ่มซำ โจ๊ก ข้าวหน้าไก่ และ option อื่นๆอีกเพียบ

อิ่มแล้วไปเริ่มกันที่จุดหมายแรก อุทยานหลวงราชพฤกษ์

ถ้าสว.แล้วเชิญขึ้นรถ ถ้าแรงดีเดินโลด (ได้ข่าวว่าขึ้นรถกันหมด …)

แดดดี ร้อนมาก ต้นไม้งาม ดอกไม้สวย

หอคำหลวงดูอลังการ เลยต้องมีออกท่ากันหน่อย

จุดหมายถัดไป อยู่ห่างไปไม่ไกล ทีมงานพร้อมใจไปบน & แก้บนกันที่วัดพระธาตุดอยคำ วิธีการบนคือให้บนอย่างต่ำด้วยพวงมาลัย 50 พวง ก่อนทางขึ้นจะมีร้านขายพวงมาลัยหลายร้าน ราคาขายคือ 50 พวง 400 บาท เท่าๆกันหมด ใครไม่ได้มาแก้บนก็ซื้อไม่กี่พวงไปถวายได้  บนวัดคนเยอะมากเหมือนทุกๆครั้งที่มา แถมไปตอนใกล้เที่ยง แดดจัดสุดๆ เลยอยู่กันที่นี่กันไม่นาน

ไปกินข้าวเที่ยงกันต่อที่ เฮือนเพ็ญ สาขา 2  อาหารการกินพี่ Up จัดให้เต็มที่ อร่อยดีงาม ทุกประการ

อิ่มแล้วก็ได้เวลาไป check-in กันที่ Veranda High Resort MGallery ที่พักไฮโซที่ทำให้หลายๆคนรีบลงชื่อมาทริปนี้กัน 😛  ตัว Resort อยู่แถวหางดง ออกจะปลีกวิเวก ไกลความเจริญ เหมาะกับคนที่อยากได้ความสงบ อย่างที่บอกตอนต้นว่าถ้ามาเองเราคงไม่มาพักที่นี่แน่ เพราะทั้งราคาแรงทั้งสงบไป 555++ แต่ห้องพัก อาหาร การบริการ ทุกอย่างของที่นี่ได้ใจมาก

ห้องที่ได้อยู่ชั้น 1 ห้อง 104 เตียงนอนสบายดีมาก มีอ่างอาบน้ำใหญ่โตที่ไม่ได้ใช้เลย ประตูห้องน้ำเลื่อนปิดได้ แต่เป็นประตูไม้ ค่อนข้างหนัก เราว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ส่วนทีวีอยู่ปลายเตียง เทียบกับระยะนอนดูแล้วจอเล็กไปนะ ^^” ส่วนที่นั่งตรงระเบียงนี่ไม่ได้ใช้เลย ดูแล้วอารมณ์เหมือนๆอยู่กลางทุ่งนา ไม่รู้กลางคืนยุงจะเยอะป่าว ไม่ได้พิสูจน์อ่ะ 555

เอาของไปเก็บเรียบร้อย ช่วงบ่ายมีกิจการ Paint ร่มของทางรร. สถานที่จัดกิจกรรมก็อยู่ตรงข้ามห้องเราเลย ตอนแรกอยากเบี้ยวมว๊ากกกกเพราะเพลียจากเมื่อคืนที่แทบไม่ได้นอน แต่พี่ up บอกว่าใครไม่มาจ่ายตังค์ค่ากิจกรรมมาด้วย … เลยมาก้อล่ายยยย 😆

เราพยายามทำได้สักพักใหญ่ๆแล้วไม่เกิด แอบดีใจว่าดีแล้วที่ไม่เลือกเรียนศิลปะ สุดท้ายเลยตัดใจ ไปชื่นชมของคนอื่นๆแทนดีกว่า  😆

ภาพมุมกว้าง ถ่ายจากลาน paint ร่มกลับเข้าไปทางตัวอาคารห้องพัก มีพี่ Vatsun เป็นนายแบบอยู่ขวามือ  😆

เนื่องจากช่วงที่ไป Service ของทรูมีปัญหาต่อเนื่อง สุดท้ายพี่มะหนิงเลยต้องเดินทางกลับก่อนคืนนั้นเลย เพื่อไปช่วยกอบกู้สถานการณ์ นับถือใน Spirit ของพี่มาก ก่อนกลับเลยขอ post รูปกับ Veranda อีกสักหน่อย

Dinner คืนวันแรกจัดที่ห้องอาหารของรร. แบบ Buffet พร้อม ฺunlimited alcohol ทุกชนิด! กินเสร็จ เปิดวงไพ่ พร้อมฟังทีมงานขับขานบทเพลงอันไพเราะจากเครื่อง karaoke บนเวที งานนี้พอเจอ unlimited ALC กันไปเริ่มร้อง เริ่ม dance กันอย่างเมามันส์
คืนนั้นกลับห้องนอนหลับเป็นตาย เพราะคืนก่อนนอนบนรถไฟนอนได้ 2-3 ชม. แถมที่นอน ของ Veranda นี่นอนสบายมาก นุ่มนิดๆกำลังดี ติดใจจนอยากจะแอบยกเค้าที่นอนเค้ากลับบ้าน 555+

3 Dec 2016
สะดุ้งตื่นมาตอน 6:20 โชคดีมาก เพราะลืมตั้งนาฬิกาปลุก รีบแต่งตัว ไปกินข้าวเช้าแบบด่วนๆก่อนเลย เพราะพี่ Up บอกไว้ว่า 7 โมงรถต้องออกจากรร.ไป Flight of the Gibbon! ห้องอาหารเช้าอยู่ชั้น 4 ด้านหน้าเป็นสระว่ายน้ำ ว่ายไปดูวิวไป

อาหารเช้าของที่นี่ ไม่ได้เยอะแยะอลังการ แต่มีพอประมาณ รสชาติโอเคเลย 

จากรร.นั่งรถชม.กว่ากันเลยกว่าจะมาถึง Flight of the Gibbon มาถึงจนท.ก็ให้เซ็นยินยอม เอาของทั้งหมดเก็บใน Locker แล้วก็แบ่งกันเป็น 3 ทีม ทีมละ 7 คน ไปเริ่มแต่งตัว จากนั้นก็นั่งรถตู้ออกจากศูนย์บัญชาการไปที่ฐาน

จากที่จอดรถไปฐานต้องทำการเดินเท้าเข้าไปในป่า ถ้าหน้าฝนไม่แนะนำให้มา เพราะจะลื่นและอันตรายได้ ระยะทางเดินค่อนข้างไกล และเป็นการเดินขึ้นเขา กว่าจะถึงจุดแรกข้าวเช้าก็ย่อยไปหมดแระ แห่ะๆ
ก่อนเริ่มเล่น จนท.ก็จะ brief วิธีเล่นและระบบ safety ต่างๆให้ฟัง พวกเรามี 3 กลุ่ม จะมีจนท.ดูแลกันกลุ่มละ 2 คนไปตลอดจนจบ พอ brief เสร็จก็เริ่มเล่นกันได้เลย โดยฐานแรกนี่เป็นฐานที่ต้องทำใจเยอะสุดนะเราว่า เพราะยังไม่เคยเล่น จะโดดออกตัวไปนี่ชั่งใจประมาณนึงเลยว่าสรุปมัน safe แล้วใช่มั๊ย ตูจะรอดใช่มั๊ย ตูจะไปค้างอยู่กลางทางหรือเปล่า ฯลฯ แต่พอเริ่มผ่านไปสัก 2-3 ฐาน ก็จะเริ่มชินละ

ฐานส่วนใหญ่จะคล้ายๆกันคือโหนสลิงไปปลายทาง แตกต่างกันที่ระยะ โดยที่ไกลสุดคือระยะ 800 เมตร อันนี้ยาวมากๆ ส่วนฐานอื่นที่แตกต่างก็จะมีแบบโหนไปเป็นคู่บ้าง กับ ฐาน Superman ที่เค้าจะเกี่ยวสลิงไว้ที่หลังเราแล้วให้เราบินไปจนถึงปลายทาง ก่อนที่จะปีนบันไดเชือกขึ้นไปบนฐาน นอกจากนั้นก็จะมีฐานเดินบนบันไดเชือก กับฐานที่เป็นการปล่อยตัวทิ้งดิ่งจากบนต้นไม้ลงพื้นด้านล่าง อันนี้หลายๆคนเสียวมาก ยิ่งถ้าเค้าปล่อยแบบเร็วๆด้วยแล้ววูบวาบอย่างแรง  โดยเฉพาะฐานสุดท้ายที่ทิ้งตัวลงมาสูงมากกกกก

ลงมาถึงพื้นด้านล่าง ถอดอุปกรณ์คืนแล้วก็พักหายใจถ่ายรูปเล่นกันพักนึง ก่อนจะขึ้นรถตู้กลับศูนย์บัญชาการ โดยรวมแล้วสำหรับ Flight of the Gibbon นี่เราชอบนะ มันส์ดี แต่ถ้าจะให้มาเล่นซ้ำนี่คงต้องเว้นระยะไปนานๆเลย เพราะ feeling มันก็น่าจะเหมือนๆเดิม ไม่ได้เล่นแล้วติดใจอยากจะเล่นแล้วเล่นอีกขนาดนั้น

ถึงศูนย์ฯแล้วก็ไปกินข้าวกันต่อเลย ร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามศูนย์ อาหารเหมือนแนวผักๆหน่อย พวกผักบุ้ง เห็ดผัด ยำผักชี ต้มข่าไก่ เติมได้ไม่อั้น ข้าวเป็น riceberry อร่อยมาก
จบจากอาหารหลัก เราจะไปต่อกันที่ร้านกาแฟสุดฮิต The Giant ที่อยู่ไม่ไกล(มาก)จากตรงนั้น แต่วิธีการเดินทางนี่โหดอยู่ คือต้องเอารถตู้ไปจอดที่ลานจอด แล้วนั่งรถสองแถวขึ้นไป เพราะทางขึ้นค่อนข้างแคบ และชันมาก พวกเรานั่งโหนสองแถวกันขึ้นไป จนกล้ามขึ้น เพราะใช้เวลาราวๆ 15-20 นาทีกว่าจะถึง เพราะทางแคบและชันคือถ้าให้มาเองนี่อย่ามา ถ้าขับรถไม่แข็งยิ่งไม่ต้องมา ให้จอดรถแล้วขึ้นสองแถวมาโลด  แต่เอาจริงๆคือถ้าต้องมาจากในเมืองคือไม่ต้องมาเลยดีที่สุด มันไม่ได้อะไรมากขนาดนั้นหรอก เครื่องดื่ม ขนม ทั้งหลายรถชาติเฉยๆ กินร้านเก๋ๆในเมืองอร่อยกว่าเยอะ แต่วิวของที่นี่ก็ดีงาม แลกกันไปกับการเดินทางโหดๆ + นักท่องเที่ยวเยอะ จนแน่นร้าน

จาก The Giant เราก็กลับเข้าเมืองกัน นัดทีมที่ไม่ได้มาเล่นด้วยกันไปเจอที่วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ระหว่างกำลังเดินทาง อีกทีมที่ไปถึงก่อน Line มาบอกว่าคิวรถรางขึ้นวัดแน่นมากกกกกก  ไหนๆวันนี้พวกเราก็ Adventure มาทั้งวันแล้ว พอไปถึงเรากะอีกหลายๆคนเลยตัดสินใจเดินขึ้นวัดกันซะเลย เอาจริงๆทางขึ้นก็ไม่ได้ไกล เดินไปถ่ายรูปไปชิลดี

ด้านบนนักท่องเที่ยวก็เยอะเหมือนทุกครั้งที่มา

ก่อนกลับก็แวะไปถ่ายรูปกันที่จุดชมวิวสักกะหน่อย

ระหว่างรอทีมงานเดินลงด้านล่างไปขึ้นรถ

กำลังเดินลงเพลินๆ เจอเด็กน้อยน่ารักชวนถ่ายรูป ตอนแรกก็เดินผ่านๆกันไป แต่พอสาวๆได้ยินน้องเรียกว่า “พี่สาวคนสวย” ปุ๊บ เท่านั้นแหล่ะ stop ทั้ง gang ใจละลายกับ keyword นี้แบบพร้อมเพรียง 555++

ออกจากวัดไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านกาแล ช่วงนี้ดอกไม้ภายในบริเวณร้านสวยมาก ชาวคณะเราก็เพลินกับการถ่ายรูปกันทั้งก่อนและหลังกินข้าวเลย
ส่วนอาหารพี่ up จัดเต็มเหมือนเดิม ตอนแรกเห็นปริมาณอาหารแล้วแบบว่า เฮ้ย จะกินหมดเหรอเนี่ยะ!! แต่สรุปตอนท้ายรับบริจาคมาเพิ่มจากโต๊ะอื่นอีก เอิ่มมมมม  😆
อิ่มจัดขนาดนี้ ต้องไปเดินย่อยกันหน่อย คืนวันเสาร์มีถนนคนเดินวัวลาย รถตู้เอาไปปล่อยแล้วให้พวกเรานัดแนะเจอกัน ถนนคนเดินวันเสาร์ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ของกินก็ไม่น่ากินเหมือนวันอาทิตย์ มากี่ทีก็คิดเหมือนเดิม สรุปว่าถ้าอยากเดินเล่นถนนคนเดินก็ไปของคืนวันอาทิตย์ดีกว่า ส่วนคืนวันเสาร์ไปนั่งชิลล์ร้านนม ร้านเบียร์ หรือผับบาร์ตามแนวของแต่ละคนเลยจะโดนกว่า
เดินเล่นกันชม.กว่าๆๆก็กลับรร. นอนเอาแรง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีกวัน …

4 Dec 2016
ตื่นมา 6 โมงหน่อยๆเพราะมีนัดตักบาตรตอน 7 โมงเช้า ทางโรงแรมจัดการเตรียมทุกอย่างให้พร้อมทั้งนิมนต์พระมารับบิณฑบาตถึงที่โรงแรมเลย รู้สึกผิดเหมือนกัน คือเดินออกไปตอนเกือบ 7 โมงตรง ตามเวลานัด แต่พระมารอแล้ว  😯
ตักบาตร ฟังเทศน์ กรวดน้ำกันอิ่มบุญเรียบร้อย ก็วิ่งไปกินข้าวเช้ากันแบบด่วนๆแบบต้องเสร็จใน 10 นาที อีกเป็นวันที่ 2 เพราะเรายังมีกิจกรรมปั่นจักรยานกันต่อตอน 8 โมงเช้า พี่ up สั่งมาห้ามเลท! ขบวนจักรยานปั่นออกจากโรงแรมไปตามถนน มีคนนำขบวน และอีกคนปิดท้ายขบวน แถมมีรถตู้ขับตามอีกคันเพื่อคอยดูแล เส้นทางที่ขี่ไปมีเลนจักรยานก็จริงแต่ดูอันตรายเหมือนกัน เพราะเลนแคบ และรถขับค่อนข้างเร็ว

จุดหมายแรกที่เราไปจอดพักให้หายเมื่อยคือที่วัดอินทราวาส (ต้นเกว๋น)
หายเหนื่อยกันแล้วก็ขี่เลาะตามบ้านคนพื้นที่ไปออกถนนใหญ่อีกที แวะอีกครั้งที่ไร่สตรอเบอรี่ข้องหลวง ก่อนจะปั่นยาวกลับโรงแรม

คืนจักรยานแบบเหงื่อแตกกันถ้วนหน้าตอนนั้นราวสิบโมงกว่าๆแระ พี่ up แจ้งว่าเราต้อง check-out กันตอน 11 โมงเป๊ะ พวกเราเลยต้องรีบวิ่งกลับห้องอาบน้ำ จัดของกันอย่างด่วนนนน ^^”

Check out แล้วแยกย้ายกันขึ้นรถตู้ไป คนที่ไม่อยากไปกาดวโรรสก็แยกไปขึ้นรถอีกคันนึง ส่วนเราขอติดรถตู้ไปกาดฯด้วย ไม่ได้จะไปช้อป แต่เพราะนัดออยไว้ที่นั่นตะหาก มาเชียงใหม่ทั้งทีไม่ได้เจอกันมันผิด concept ครั้งนี้บอกมันอย่างมุ่งมั่นว่าช้านจะไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวหลุดโลก! ร้านนี้เล็งมาทุกครั้งที่มาเชียงใหม่ แต่ดันกินร้านอื่นๆจนอิ่มจัดก่อนทุกครั้งเลยยังไม่ได้ลองสักที ครั้งนี้เลยตั้งใจมากินที่นี่เลย แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่สั่งไปรสชาติแหล่มมากจนติดใจ ครั้งหน้าจะมากินอีกแน่ๆ มาครั้งนี้โชคดีได้เจอพร้อมกันทั้งออย พี่สาวิตร และหลานๆพร้อมเพรียง ถึงจะมีเวลาไม่นานก่อนไปสนามบิน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอนะ  ไอ้ออยนี่เป็นครูสอน Zumba เต้นจนผอมเพรียวมากกกก เสียดาย zumba ไม่ใช่แนว แบบว่ายักย้ายส่ายสะโพกกะเรานี่คงไม่ไหวนะ เขินตัวเอง ฮ่าๆๆๆ

กินเตี๋ยวเสร็จยังพอมีเวลาเหลือเลยไปตบกาแฟร้านมิ่งมิตรกันต่อ วันนี้สั่งเป็นคาปูฯเย็น สำหรับร้านนี้เราได้ชิมสาขาอื่นๆมาหลายทีละ ชอบรสกาแฟเค้านะ มันกลมกล่อมดี บางร้านดังๆไปกินแล้วก็ไม่ใช่แนวเราเท่าไหร่
ส่วนไอ้ออยนี่สั่งแบบร้อนตลอด ไม่ว่าจะหน้าหนาวหน้าร้อนนนน

นั่งคุยกันยังไม่ทันหายคิดถึงก็ต้องไปสนามบินแระ  😕

พี่สาวิตรขับรถมาส่งที่สนามบิน เวลากำลังดี เช็คอิน โหลดกระเป๋ากับ Thai Smile ง่ายๆไม่ยุ่งยาก คิวแทบไม่มี เดินไปรอที่ Gate ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องไม่มีดีเลย์ เป็นอันปิดทริปเชียงใหม่

สรุป ประทับใจมาก คือได้ลองหลายๆอย่างที่อาจจะไม่มีโอกาสได้ลองเอง (เพราะคนรอบตัวอาจจะไม่ไปด้วย) อย่างนั่งรถไฟตู้นอน, Flight of the Gibbons, พัก Veranda, ไป The Giant  เพราะงั้นเลยต้องขอขอบคุณทางบริษัทมากมายที่ Sponsor Trip หนุกๆแบบนี้ ต้องบอกว่าสาวๆใน office เราแข็งแกร่งและลุยมาก นับถือเลย ตินิดเดียวสำหรับทริปนี้คือ 1. งานเข้าตั้งแต่ขึ้นรถไฟยันวันสุดท้าย ทำให้พี่มะหนิงต้องบินกลับไปก่อนตั้งแต่คืนแรก ได้สัมผัส Veranda แค่ไม่นาน เสียดายแทนมาก 2. มีเวลาชิลน้อยไปหน่อย – ด้วยความที่กิจกรรมอัดแน่นตลอดทั้งวัน และทุกวัน (สำหรับสายกิจกรรม) ทำให้ต้องตื่น 6 โมงทุกเช้า … แต่ก็นะพวกเราเลือกกันเอง พี่เค้าก็มี option ให้แล้วว่าจะลงกิจกรรมมั๊ย  … เอาจริงๆคือแค่จะบอกพี่ๆว่าน่าจะอยู่ต่ออีกสักวันจะได้มีเวลาชิลล์บ้างเท่านั้นแหล่ะค้าบบบบบบ  … ยังงี้สมควรกลับไปแก้มือใหม่อีกรอบเนาะ? :mrgreen:

Comments