เพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้เขียน update ถึงชีวิตตัวเองมาเกือบ 2 ปีแล้ว หลังจากล่าสุดเขียนไว้ตั้งแต่ 3 ตุลาฯ 2006 น่ะ (ก่อนกลับมาเมืองไทยอีก ^^”) … จริงๆตอนทำเว็บนี้ขึ้นมาตั้งใจว่าจะทำเป็น Diary เลยนะ คือจะบันทึกว่าวันๆ(หรืออย่างน้อยก็แต่ละช่วง)ของชีวิตทำอะไรบ้าง … บวกกับตอนนั้นอยากหาที่ระบายด้วยแหล่ะ บางทีไม่รู้จะบ่นยังไงดี เอา web นี่แหล่ะวะ เป็นที่เขียนระบายความเซ็ง/หงุดหงิด/เครียด จะดีกว่า เลยกลายเป็นที่มาของ abbster.net นี้

แต่ตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย รู้สึกว่าทำไมเวลาที่จะทำอะไรสบายๆหรือชิลๆมันไม่เห็นมีเลยอ่ะ … ตอนอยู่ที่ San Diego ในช่วงปีหลังสุดนี่เหมือนได้อยู่กับตัวเองเยอะมากๆ บางทีก็รู้สึกโหวงๆบ้างนะ แต่ 80% ของความรู้สึกเราว่ามันสงบดีมากๆ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่ต้องทำอะไรตามใจใคร หรือต้อง concern ความรู้สึกคนรอบข้าง ไม่มีกฏเกณฑ์อะไร วันทำงานก็ไม่ต้องรีบร้อน ตื่นมาก็ 8-9 โมงเช้า กินข้าวเช้าแบบสบายๆ ไปทำงาน 9.30 – 10am ก็ไม่มีปัญหา จากที่บ้านขับรถไปที่ทำงานก็ 10 นาทีเอง ขับสบายๆรถไม่ติด ส่วนการทำงานก็ไม่มีการเมือง หัวหน้าห่วยแตกก็ comment ได้ตรงๆ เพื่อนที่ทำงานก็ประเภทตัวใครตัวท่าน คือเคารพให้เกียรติกัน แต่ไม่มาวุ่นวายเรื่องส่วนตัว และคบกันแบบสบายๆ หลังเลิกงานก็ต่างคนต่างไป ตอนทำงานที่นู่น จันทร์-ศุกร์ไปทำงาน เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปตีกอล์ฟ ตีเทนนิส แล้วก็เข้ายิม กินข้าวกับเพื่อนคนไทยบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเพื่อ catch up ชีวิตกัน อย่างคืนวันศุกร์ หรือเสาร์ก็จะนัดกินข้าวเย็นกัน พอกินเสร็จก็ไปสิงบ้านใครสักคนเพื่อตั้งวง LAN เล่นเกมส์กัน หรือไม่ก็เอา VCD/DVD ล่าสุดที่เพิ่งออกมานั่งดูด้วยกัน หรือไม่ก็แข่ง Playstation กัน  ตอนนั้นเกมส์ฮิตก็ karaoke revolution, dance dance revolution, hot shot golf, etc)  ช่วงนั้นเป็นชีวิตที่ชอบเลย คือมีทั้งความสนุกและความสงบไปด้วยกัน balance มากๆ

สุดท้ายที่ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะว่าพ่อเสียไปได้เป็นปีแล้ว แม่อยู่กับน้องแค่สองคน ก็เลยอยากให้กลับมาอยู่ด้วยกัน … ตอนนั้นก็เสียดายนะ เพราะว่าที่ทำงานไม่อยากให้ลาออก เลย offer ว่าจะ submit เรื่องทำ greencard ให้ทันที และจะอนุมัติให้บินกลับเมืองไทยได้ปีละ 3 รอบ ให้ไปอยู่รอบละเดือน คือให้ทำงานได้ 2 locations เลย … แต่ตอนนั้นคุยกับที่บ้านแล้วดูท่านแม่ไม่ happy เท่าไหร่ มันเหมือนไม่ได้กลับมาอยู่กับเค้าถาวร เราเลยตอบกลับไปว่าไม่ (เสียดายเหมือนกัน) แต่ที่น่าเสียดายมากกว่านั้นอ่ะ คือช่วงเดือนสุดท้ายก่อนที่จะกลับ มีการติดต่อมาจาก Google.com ว่าเค้าได้ review profile ของเราแล้วสนใจ เลยอยากขอสัมภาษณ์ ตอนนั้นเราก็คิดนะว่าเออลองดูก็ดีเหมือนกัน ก็เลยโอเค เค้าก็นัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ มีการสัมภาษณ์จากคนที่เป็น HR ไปก่อนรอบแรก แค่คุยทั่วๆไป ถามประวัติ เสร็จแล้วก็นัดคุยอีกรอบกับทางทีมที่เค้าจะให้เราไปทำงานด้วย … ก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะวันสัมภาษณ์ … พอถึงเวลาปั๊บ ก็โทรมาเลย ตรงเวลาดีมากๆ … ก็คุยกันไปประมาณ 20 นาที มีแต่คำถามทาง Technical ล้วนๆ … คุยเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไร เราก็คิดว่าคงไม่ผ่านหรอก (แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่า ship ของกลับเมืองไทยหมดแล้ว เตรียมบินกลับแล้วหล่ะ เพราะตอนนั้นนี่เหลืออีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็ต้องบินกลับแล้ว) แต่พอกลับมยาถึงเมืองไทย วันแรกๆเลย เราได้รับการติดต่อ (ทางเมล์ เนื่องจากโทรศัพท์ที่ใช้ที่เมกามันถูก cancel ไปแล้วนิ) ว่าผ่านสัมภาษณ์แล้ว อยากให้ไปสัมภาษณ์รอบสุดท้ายที่ Google site (Silicon Valley) เลย … โห … ตอนนั้นนะ … เสียดายมากๆอ่ะ อยากไป Google สักครั้ง อย่างน้อยไปแล้วไม่ผ่านสัมภาษณ์รอบสุดท้าย แต่ก็ถือว่าได้ไปลอง T_T เฮ่อ คนเราเนอะ เป็นจังหวะชีวิตมากๆ ถ้าได้รับการติดต่อมาก่อนหน้านี้สักเดือนนึง คงจะไม่พลาดโอกาสแบบนี้ หรือถ้าคิดเข้าข้างตัวเอง ป่านนี้เราก็อาจจะได้ทำงาน Google แล้วเนอะ เป็นบริษัทในฝันของเรา และเชื่อว่าเป็นของใครหลายๆคนด้วย … แต่มาคิดอีกที ถ้าได้ทำงาน Google จริงๆ เราคงไม่ได้กลับมาอยู่กับแม่และน้อง ซึ่งเราก็คงจะรู้สึกผิดอีกอยู่ดี … แห่ะๆ สรุปแล้วก็คือ คนเราต้อง weigh ความต้องการของตัวเอง กับ ความต้องการของคนที่เรารัก เนอะ เราทำตามใจตัวเองมาเยอะแล้วนิ หนีมาอยู่เมกาไป 7 ปีแล้วอ่ะ

แต่พอกลับมาอยู่เมืองไทย (กลับมาถึงวันที่ 29 Nov 2006) มันก็แลกกันนะ มันได้ความรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก และเค้าก็รักเรา แต่มันก็แลกกับความอิสระในการทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ก็นะ คิดว่าเป็นชีวิตอีกแบบนึงที่เราต้อง Get over มันไปให้ได้น่ะ ไม่ว่าจะ Get Over โดยการยอมรับสภาพ (ทำใจยอมรับได้) หรือเปลี่ยนตัวเองไปทีละนิดๆจน Lifestyle เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้เองโดยปริยาย … ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 2 ปี เริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็นะ บ้างอ่ะ ไม่ใช่ดีขึ้นซะทั้งหมด แห่ะๆๆ … เอาเป็นว่า post นี้จบตรงนี้ละกัน เดี๋ยวชีวิตหลังกลับมาถึงเป็นยังไง จะมาเล่าต่อใน Post ต่อไป ไม่งั้นเดี๋ยว post นี้ยาวเกิน

Comments