ตั้งใจไว้กับน้องชายว่าจะพาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง สำหรับปีที่แล้วเราพาแม่ไปทัวร์ฝรั่งเศส-สวิส-อิตาลี-อียิปต์ กันมาแล้ว ปีนี้ก็ถามแม่ว่าอยากไปไหน ท่านแม่เราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งปักกิ่ง / ดูไบ จนสุดท้ายเกือบได้ไปดูไบแล้วเชียว แต่ไปๆมาๆท่านแม่บอกว่าเฮ้ยมันมีโรคระบาดนู่นนี่นั่นหลายแห่ง เลยบอกว่าไม่ไปละ ประเทศแขกๆเนี่ยะ (ถึงโรคระบาดมันจะไม่ได้มีที่ดูไบก็เหอะ แต่ท่านแม่เราเหมารวม) ไปฮ่องกงพอ?!?! แง้วววว … สุดท้ายเราเลยจัดให้เป็นทัวร์ฮ่องกง-มาเก๊า-จูไห่-เซินเจิ้น ให้ในทริปเดียวกัน ภายใน 4 วันซะเลย ด้วยความที่ท่านแม่เราชอบชะโงกทัวร์อยู่แล้ว ทัวร์นี้โหดอยู่ แต่ครบดี เราเลือกติดต่อจากทัวร์ของ Exoticon เจ้าเดิมเหมือนตอนที่พาแม่ไปทัวร์เกาะเชจูครั้งก่อน เพราะครั้งที่แล้วก็ราบรื่นดีไม่มีปัญหา เราติดต่อจนท.ชื่อคุณต้นผ่านไลน์ตลอด สะดวกดี

ราคาของทริป 4 วัน ช่วงที่เลือกไปก็คนละ 14,999 บาท + ค่าทิปไกด์ท้องถิ่นต่างหากคนละ 150 หยวน ก็ราวๆ 800 บาท รวมทริปนี้ก็ 15,799 บาท/คน บิน Hongkong Airline ทัวร์นี้มีโปรโมชั่นแถมกระเป๋า Samsonite ให้คนละใบด้วยนะ ดูไม่ค่อยเป็นแต่เข้าใจว่าน่าจะเป็น Samsonite จีนแน่ๆ เพราะกระเป๋านี่ไกด์จีนแจกให้ตอนอยู่จูไห่ 555++ ว่าแล้วก็แปะโปรแกรมทัวร์ไว้ซะหน่อย ทริปนี้เดินทางวันที่ 12-15 มีนาฯ 2559 ช่วงสงกรานต์เราจะได้ชิลกับคนน้อยๆในกทม. ไปกัน 4 คน ทั้งแม่-โดม-เรา-เปิ้ล เหมือนคราวยุโรปปีที่แล้ว ก็ครบ 2 ห้องลงตัวพอดี
Program Tour12 Mar 2016
ไปถึงสุวรรณภูมิกันตอนราวๆ 6 โมงเช้า ทางจนท.มารออยู่แล้ว ไปถึงก็เช็คชื่อ-รับซองที่ด้านในจะมีพวกใบตม.ที่เค้ากรอกมาให้แล้ว + โปรแกรมทัวร์ ปากกา ทิชชู่ หมากฝรั่ง ครบถ้วนดีมาก  🙂 พอโหลดกระเป๋าเสร็จก็ผ่านตม.เข้าไปด้านในกัน เหลือเวลาค่อนข้างเยอะเราเลยพาแก๊งค์ทั้งหมดเข้าไปนั่งหาอะไรรองท้องในเล้านจ์ของ King Power ก่อน เรามาที่นี่หลายครั้งแล้วอย่างล่าสุดก็ตอนที่ไปทริปเทรนนิ่งที่ซิดนีย์ โดยรวมถือว่าดีนะ เพราะให้บริการฟรีกับสมาชิก แถมพาเพื่อนเข้าได้ด้วย พวกเรามาตอนเช้า คนก็ไม่เยอะมาก มีที่นั่งให้สบายๆแต่ละคนก็จัดการกินกาแฟ แซนวิช รองท้องกันไป แต่ทีเด็ดจริงๆเวลามาตอนเช้าแบบนี้คือมีโจ๊กด้วย ขอบอกว่าโจ๊กของ King Power นี่ไม่ธรรมดา อร่อยเทียบเท่าที่ฮ่องกงได้เลย สมาชิกชอบกันใหญ่ ทาง King Power ช่วยจัดให้มีไว้ทั้งวันเลยได้มั๊ย เวลามา Flight เวลาอื่นจะได้ทานด้วย แบบว่าติดใจอ่ะ XD
Kingpower

พอใกล้จะได้เวลา Boarding พวกเราก็เดินไปรอขึ้นเครื่องที่ Gate กัน วันนี้ดูคนเต็มลำ สภาพเครื่องก็ออกเก่าๆหน่อย แต่ถือเป็น Full Service มี PTV ให้ทุกที่นั่ง เสิร์ฟอาหาร และรวมโหลดกระเป๋าได้คนละ 20 Kg (แต่มากับทัวร์ดูเค้าไม่ซีเรียสนะ ไกด์บอกว่าเดี๋ยวมาถัวๆกันได้น่ะ) เครื่องออกไปได้เกือบชม.ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้าเป็นแบบเบสิคเลยคือไข่-ไส้กรอก-ครัวซองค์ รสชาติธรรมดาๆทั่วไป
HK Airline

ใช้เวลาบินราวๆสามชม.ก็มาถึงสนามบินฮ่องกง หลังจากผ่านคิวตม.ยาวเหยียดมาเรียบร้อยก็ออกมารวมตัวกันด้านนอก คุณจอยที่เป็นไกด์ประจำทริปที่พาพวกเรามาจากเมืองไทย ก็พาไปเจอไกด์ชาวไทยอีกคนที่เป็นไกด์ฮ่องกงก่อน เพื่อจะไปขึ้นรถบัสที่ทางทัวร์จัดมารอรับ โดยที่แรกที่เราจะไปคือกระเช้านองปิง ขึ้นไปนมัสการพระใหญ่ที่วัดโป่วหลิน โชคร้ายแฮะที่ตอนไปถึงมีฝนตก หมอกลงจัด ตอนนั่งกระเช้าเลยไม่ค่อยเห็นวิวเท่าไหร่ แต่สำหรับเรานี่เป็นครั้งที่ 2 ที่มาที่นี่เลยไม่ซีเรียสนะ ครั้งที่แล้วนั่งกระเช้าแบบคริสตัลพื้นกระจกด้วย เห็นวิวชัดดี
กระเช้านองปิง

ขึ้นไปถึงแล้วไกด์พาไปกินข้าวกลางวันก่อนเลยที่ร้าน Ngong Ping Garden Restuarant เป็นร้านอาหารจีนใหญ่บนนั้น ข้อดีของการมาทัวร์คืออาหารจัดเต็ม มีหลากหลาย อย่างทัวร์ของเราแบ่งเป็นโต๊ะละประมาณ 8 คน ไม่แออัด อาหารให้มาเยอะแบบกินเหลือกันทุกมื้อเลย
Ngong Ping Garden Restuarant

กินอิ่มแล้วไกด์จะพาเดินไปเรื่อยๆ ฝนก็ยังตกปรอยๆอยู่ สองข้างทางก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก เดินไปจนถึงจุดที่ให้นมัสการพระใหญ่ด้านล่าง ส่วนใครอยากเดินขึ้นก็สามารถทำได้ แก๊งค์เราไม่มีใครยอมเดินขึ้นสักคน ส่วนเราเคยเดินขึ้นไปตอนมาครั้งที่แล้วแล้ว เลยบายเหมือนกัน
20160312_140345_HDR 20160312_142153_HDR

พอไหว้พระเสร็จแล้วก็เดินเล่นถ่ายรูปหมู่บ้านนองปิงไป บอกไกด์ว่าจะนั่งกระเช้าลงไปเดินเล่นที่ City Gate Outlet ด้านล่างก่อน เพราะเค้านัดเจอกันที่ Starbucks หน้า City Gate อยู่แล้ว ข้างบนนี้ไม่ค่อยมีอะไร ฝนก็ยังตกปรอยๆ เลยหนีไปเดิน shopping ก่อนน่าจะดีกว่า

แต่เรามาที่ City Gate ทีไร ไม่เคยได้อะไรกลับไปเลย ครั้งนี้มาเจอแต่คนไทย แถมคนเยอะมาก ราคาดูแล้วไม่ถูกเท่าไหร่ เลยขี้เกียจขนกลับไป สุดท้ายเลยได้แต่เดินเล่นจนถึงเวลาที่ไกด์นัดขึ้นรถบัสเพื่อข้ามไปด่านเซินเจิ้น ตอนผ่านด่านเซินเจิ้นนี่ค่อนข้างถึกนะ คือเราต้องขนกระเป๋าเดินทางจากบนรถบัส ลากผ่านด่านก่อน แล้วก็ค่อยขนขึ้นรถอีกที! -_- วิธีการผ่านด่านเนื่องจากเป็น Group Visa เราก็ต้องเข้าแถวช่องเดียวกัน เรียงตามลำดับโดยคนที่อยู่หัวแถวจะเป็นคนถือวีซ่าของทั้งกรุ๊ปไว้ พอยื่นเรียบร้อยก็จะค่อยๆผ่านเข้าไปทีละคนๆ กว่าจะข้ามมาได้เสร็จเรียบร้อยใช้เวลาพักนึงเลยแหล่ะ

ออกมาปุ๊บก็จะเจอไกด์ที่เป็นคนจีนมารอรับ (แต่คุณจอยที่เป็นไกด์ไทยของเราก็ยังอยู่กับเราไปตลอดนะ เหมือนเค้าเป็น co. ให้กับไกด์ในแต่ละที่ๆเราไป) เพื่อไปขึ้นรถบัสไปทานข้าวกัน อาหารก็มีหลากหลายดี รสชาติกลางๆ แต่ที่จีนนี่เกือบทุกมื้อเย็นเค้าจะมีไวน์กับเบียร์วางไว้ให้ดื่มได้ด้วย แบบว่ามันราคาถูกมากพอๆกับโค้กลิตรอ่ะ 😯 พวกเราก็ไหนๆแล้วลองดูสักหน่อยแก้หนาว กลับเป็นติดใจซะงั้น เพราะเบียร์จีนรสอ่อนๆ ซ่าๆ ดื่มแล้วสดชื่นดี ส่วนไวน์ก็งั้นๆ body หนักเชียว
Dinner-Restuarant-1

กินเสร็จไกด์พากลับไป Check-in ที่รร. คืนแรกที่เซินเจิ้นนี่เราพักกันที่ Century Plaza Hotel ที่นี่จะอยู่ใกล้ๆกับหลอหวู่ที่เหมือนกับมาบุญครองของเซินเจิ้น เราเลยไม่พลาดที่จะเดินไปสำรวจสักหน่อย แต่พอเดินไปดูแล้วก็งั้นๆ เดินมาบุญครองเราดีกว่าเยอะเลย ส่วนเรื่อง shopping ทางไกด์บอกว่าให้ไปช้อปที่จูไห่จะถูกกว่า เราเลยได้แต่เดินเล่นดูเฉยๆ ไม่ได้อะไรกันมา

กลับมาที่ห้องพักบ้าง โรงแรมเป็นโรงแรมใหญ่ ห้องพักไม่ใหม่เท่าไหร่แต่ก็ถือว่าโอเคดี
Century Plaza Shenzhen

13-Mar-2016
ไกด์ตั้ง morning call ไว้ตอน 6 โมงเช้า เพื่อนัดให้ลงมาทานอาหารเช้ากันตอน 7 โมง สำหรับอาหารเช้าของที่โรงแรมในเมืองจีนทั้งที่เซินเจิ้นและจูไห่ ต้องบอกเลยว่าค่อนข้างแย่มาก ทั้งบรรยากาศ และคุณภาพของอาหาร คือห้องอาหารค่อนข้างแออัดเพราะทัวร์ลง ส่วนอาหารยิ่งแย่หนัก คุณภาพและรสชาติไม่ไหวเลย ที่แนะนำว่าพอทานได้คือพวกข้าวต้ม และน้ำเต้าหู้ แต่พวกขนมปัง ไส้กรอก อะไรพวกนี้รสชาติไม่ผ่านอย่างแรง แต่ถ้าเอาแบบรองท้องก็พอทานได้แหล่ะนะ
20160313_071000

ที่แรกที่จะไปวันนี้เป็นโรงงานหยก ไปถึงเค้าจะพาเข้าห้องไปฟังบรรยายจากตี๋หล่อที่บอกว่าเป็นลูกชายเจ้าของโรงงานแห่งนี้ อาตี๋หล่อนี่ก็ทำหน้าตาน่าสงสารบอกว่าแข่งกันทำงานกับพี่ชายอยู่ เพื่อให้พ่อเห็นผลงาน ด้วยความหน้าตาน่าเอ็นดู+สร้าง story ได้อย่างน่าเห็นใจ บรรดาป้าๆทั้งหลายรวมทั้งแม่เราด้วยก็เลยอุดหนุนไปหวังช่วยอาตี๋ให้มีผลงานให้พ่อชื่นชม แต่ก็มารู้ทีหลัง หลังจากกลับมาจากทัวร์แล้วว่าเพื่อนโดมที่ไปทัวร์แบบนี้เหมือนกันก็โดนอาตี๋ใช้ story นี้พูดกับทุกกรุ๊ปน่ะแหล่ะ ได้ผลงานไปเพียบเลย -_-!
ร้านหยก

โดนกักอยู่ในร้านหยกซะนานมาก ก่อนที่จะโดนปล่อยตัวออกมา เสร็จแล้วก็ไปทานข้าวกลางวันกัน มื้อนี้ต้องบอกว่าเป็นมื้อที่แย่ที่สุดของทริปละ อาหารมันไม่คุ้นเลย แต่มื้ออื่นๆอร่อยนะ
Lunch Restaurant

กินเสร็จข้ามด่านไปจูไห่ แวะที่แรกเป็นโรงงานผ้าไหม รู้ว่าแม่อยากได้ผ้าห่มที่เป็นผ้าไหมอยู่แล้ว มาถึงถิ่นทั้งทีเราก็เลยจัดผ้าห่มผ้าไหมกับหมอนผ้าห่มรวมแล้วหกพันกว่าๆให้ท่านแม่ซะ เราอยู่ที่โรงงานผ้าไหมกันไม่นานเท่าไหร่ก็ไปที่ต่อไป เป็น วัดชื่ออะไรสักวัดนี่แหล่ะ แต่ตอนไปถึงฝนลงเม็ดอีกละ เลยไม่ค่อยได้เดินดูอะไรมากมาย เจอฝนตลอดแอบเซ็ง คิดว่าเดือนมีนาฯไม่น่าจะมีฝนนะ ไหงเจอมาสองวันติดฟระ!

Temple in Zhuhaiก่อนขึ้นรถไปต่อ เห็นมีรถเข็นขายมันเผาน่ากินมาก เลยซื้อมาชิม มันเผาอุ่นๆช่วยแก้หนาวดีมาก แถมอร่อยมากด้วย มันรสหวานกว่าที่เมืองไทย แบบเทียบกันไม่ได้เลย
มันเผา at จูไห่

จากนั้นไกด์พาไปต่อที่สวนหยวนหมิงหยวน สวนนี้เป็นสวนจำลองมาจากสวนหยวนหมิงหยวนที่ปักกิ่ง แต่น่าเสียดายมากที่ฝนยังตกไม่หยุด อากาศก็หนาวมาก พวกเราเลยใช้วิธีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อนั่งรถนำเที่ยวกันทั้งคณะซะเลย โดยรถจะพาวนไปทั้งสวนนี่แหล่ะ เอาจริงๆดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นะ สุดท้ายพวกเราก็มาหยุดกันตรงทางเข้าไปที่บริเวณที่เราจะดูโชว์เย็นนี้กัน พอได้เวลาดูโชว์ทางไกด์ก็จะไปเอาตั๋วมาแล้วก็พาคณะเราเข้าไปในบริเวณโชว์ทั้งคณะ โชว์ก็ดูได้เพลินๆ แต่เพราะว่ามันเป็นลาน outdoor (แต่มีหลังคา) ค่อนข้างหนาว การนั่งอยู่ตรงนั้นนานๆแบบหนาวๆทำเอาไม่ค่อย enjoy กับโชว์สักเท่าไหร่อ่ะ แถมโชว์ก็ค่อนข้างนาน คณะเราก็รายล้อมไปด้วยอาม่าอาอึ้มที่เป็นชาวจีนที่มาเป็นคณะทัวร์เหมือนกัน เอาเป็นว่าส่วนตัวแล้วเราไม่ได้อินกับโชว์เท่าไหร่ แต่มันก็ไม่แย่หรอกนะ ถ้าอากาศมันไม่หนาวมากน่ะ -__-!
สวนหยวนหมิงหยวน

ดูโชว์เสร็จได้เวลาทานอาหารเย็นพอดี มื้อนี้อร่อย แก้มือมื้อกลางวันไปได้
Dinner in Zhuhai

เสร็จจากมื้อเย็นไกด์พาไป shopping ต่อที่ตลาดกงเป่ย ตลาดนี้มีของขายเยอะมากกกก และอยู่ตรงด่านที่จะข้ามไปมาเก๊าด้วย คนเลยเพียบ ไกด์ให้เวลาเดินเล่นกันที่นี่ราวๆชั่วโมงกว่าๆได้ ต้องทำเวลาขนาดนี้ก็แยกกันเดินสิ ด้วยความที่ต้องเดินแบบรีบๆก็เลยเกือบจะไม่ได้อะไรเลย แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วสุดท้ายเราก็ได้ jacket หนังอย่างเท่ห์มาตัวนึง ถ้าซื้อในไทยน่าจะ 3-4 พัน แต่นี่ต่อไปต่อมาได้พันนิดๆเอง เสียแต่ว่าอยู่เมืองไทยจะได้ใส่มั๊ยเนี่ยะ ก็อากาศมันร้อนซะขนาดนั้น?! เลยต้องรีบเอาไปใส่วันต่อไปที่จะไปมาเก๊าก่อนซะเลย เห่อๆ  😆
กงเป่ย

เดินเล่นได้ไม่นานก็ได้เวลานัด ไกด์พากลับไป check-in เข้าโรงแรม คืนนี้พักที่ Landmark International Hotel ก่อนแยกย้ายทางไกด์ก็แจกกระเป๋า Samsonite V.จูไห่ให้คนละใบ หน้าตาดูแข็งแรงดีใช้ได้เลย ส่วนตัวห้องนอนเราชอบมากกว่าคืนแรกนะ แถมในห้องมีเก้าอี้นวดไฟฟ้าให้ด้วย แต่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม ข้อเสียของห้องอย่างเดียวเลยคือไม่รู้ทำไมมีปัญหากับไฟ 2 คืนติด ต้องติดต่อจนท.ให้มาสับ cut-out บนเพดานให้ทั้ง 2 คืน ทำเอาเสียรมณ์หน่อยๆ แต่โดยรวมถือว่าโอเค
Landmark International Hotel

ที่ชอบมากเป็นพิเศษคือทำเลโรงแรมนี้นี่แหล่ะ เพราะมันอยู่ติดกับตลาดนัดกลางคืนเลย เดินออกมาหน้าโรงแรมมีร้านแนว Street Food / Shopping เพียบ แถมมีพวก shop ต่างๆอีกทั้งถนนเลยล่ะ อยู่ที่นี่ติดกัน 2 คืน มาเดินเล่น 2 คืนเลย แต่ละคนก็ได้เสื้อผ้า, สูทใส่เล่น, ยีนส์, Gadget มือถือ, รองเท้าใส่เล่น, ฯลฯ จากที่นี่แหล่ะ มันถูกมากกกกกก คิดเอาว่าได้ยีนส์ตัวละร้อยกว่าบาท, ถุงเท้าคู่ละสิบบาท ใส่ดีด้วย   😆
Landmark International Hotel

14-Mar-2016
อาหารเช้าของโรงแรมนี้ถือเป็นอีก 1 จุดอ่อนเลยล่ะ ห้องอาหารมันเล็กมากๆๆๆ แถมอาหารคุณภาพพอๆกับโรงแรมแรก แต่ข้อดีของโรงแรมนี้คือภายในรร.มี KFC เปิด 24 ชม.! แบบว่าหิวตอนไหน สามารถจัดได้ตลอดเวลา สุดท้ายพวกเราเลยได้พึ่งพา KFC กัน ประทับใจกับเมนูอาหารเช้าของ KFC ที่นี่นะ เพราะมันเหมือน English Muffin ข้างในเป็น Sausage + ไข่ คล้ายๆมื้อเช้าของ Mc แต่ของ KFC ที่นี่มันมาพร้อมน้ำเต้าหู้ ที่อร่อยมากกก เซ็ตนี้เลยทำให้ฟินมากกว่า set ของ Mc ไปอีกสามขั้น  😆
KFC at Landmark International Hotel

เช้านี้หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไกด์พาไปร้านที่ตามโปรแกรมบอกมาคือร้านบัวหิมะ สำหรับร้านนี้เราตั้งใจมาซื้อบัวหิมะกลับกันไปอยู่แล้ว เพราะอยากได้ของแท้ … แต่ๆๆๆๆๆสุดท้ายคือเค้าไม่ได้ขายแค่บัวหิมะนะ แต่มียาชนิดอื่นๆที่ราคาแพงมากกกกกกกกกกกอีก หลักๆเลยคือตังถั่งเช่า (มีทั้งเกรดพรีเมี่ยม กับรองลงมา ราคาต่างกัน), หลินจือ, บัวหิมะ, ฯลฯ … โดยหลังจากผุ้บรรยายมาบรรยายสรรพคุณให้แล้ว เค้าจะมีบริการหมอแมะ มาเช็คสุขภาพให้เราด้วย พร้อมหมอก็จะเซลไปในตัวว่าอาการเราต้องใช้ยาอะไรเท่าไหร่ ถ้าสนใจซื้อก็ต่อรองของแถมกับหมอได้เลยนะ ไปกับท่านแม่นี่ไม่พ้น สุดท้ายโดนประกาศิตจัดตังถั่งเช่าไป เก้าหมื่นกว่า!! หมอแถมเป็นตังถั่งเช่าเกรดรองลงมา 2 ขวด + หลินจือกล่องใหญ่อีกกล่อง ณ เวลานั้นลูกๆทุกคนทัดทานยังไง แม่ก็ไม่ฟังแล้ว จะเอาให้ได้ สุดท้ายเราต้องรูดบัตรไป (** แถมหลังจากกลับมาเห็นแม่กินไป ไม่เห็นจะมีความแตกต่างอะไรเลย 🙄 ) เหอๆๆๆ ถือว่าเป็นความสบายใจของแม่ละกัน (กำลังคิดว่าเราไม่ควรพามาทัวร์แบบนี้ละนะเนี่ยะ ครั้งก่อนที่ไปทัวร์เกาะเชจู ก็โดนท่านแม่จัดไปทุกรายการเหมือนกัน T-T)
ร้านยาจีนในจูไห่

หลังจากกระเป๋าเบาหวิวจากที่นี่แล้วเรากลับไปที่ด่านกงเป่ย (Gongbei Port) เพื่อข้ามไปเที่ยวมาเก๊า คนเยอะมากๆๆๆ
Gongbei Port Gongbei Port Gongbei Port
หลังจากข้ามไปถึงฝั่งมาเก๊าแล้ว จะมีไกด์ของมาเก๊ามารับอีกที โดยที่แรกที่พาไปคือไปวิหารเซนต์ปอล Landmark สำคัญ ไม่มาไม่ได้ โชคดีที่วันนี้อากาศดี ไม่มีฝน ทุกคนเลยได้ออกอาการนายแบบนางแบบกันเต็มที่ หลังจากเก็บกดมา 2 วัน 555++
ซากวิหารเซนต์ปอล St.Paul
พอถ่ายรูปเสร็จเริ่มหิวนิดๆก็เลยจัดของกินเล่นกันเล็กน้อยจากร้านแถวๆนั้น เป็นลูกชิ้น ขนมปังหมูทอด และทาร์ตไข่ มาลองแบ่งกันชิม ก็อร่อยทุกอย่างนะ (หรือเพราะหิว?) ไกด์เห็นรีบห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งกินกันเยอะเพราะกำลังจะพาไปทานข้าวต่อ เลยต้องหยุดกันไว้แค่นี้
บริเวณซากวิหารเซนต์ปอลของกินเล่นแถวซากวิหารเซนต์ปอล

หลังจากนั้นก็เดินต่อกันเร็วๆรัวๆไปอีกไม่ไกลก็เจอ Senado Square ถ่ายรูปกันแบบเร็วๆรัวๆเลยตรงนี้ แทบจะวิ่งไปถ่ายไป ไกด์คนนี้เดินเร็วไปนะ ท่านแม่ comment ไกด์ไป 1 ดอก
Senado Square

เดินต่อไปร้านอาหารที่อยู่ชั้นบนของโรงแรมอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ ใกล้ๆ Senado แต่อาหารอร่อยเลยนะร้านนี้  😛
Lunch at Hotel Near Senardo Square

กินข้าวเสร็จ ระหว่างเดินไปขึ้นรถ ก็ผ่านรูปปั้นของ Jorge Alvares ที่เค้าว่าเป็น ชาวยุโรปคนแรกที่เดินเรือมาค้นพบดินแดนจีน ท่านแม่เลยวิ่งเข้าไป act ท่าถ่ายรูปไว้อย่างเร็ว  😆
รูปปั้น Jorge Alvares
จากนั้นไปต่อกันที่วัดอาม่า ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้มาแล้ว เพราะไม่นานก่อนทริปนี้มีข่าวออกมาว่าไฟไหม้วัด แต่สุดท้ายไม่หนักมาก ส่วนหลักๆยังเข้ามานมัสการได้อยู่
วัดอาม่า

ต่อด้วยเจ้าแม่กวนอิมริมทะเล โชคดีวันนี้อากาศดีนะ ที่มาเก๊าอากาศกำลังชิลๆ ถ่ายรูปได้สบายๆเลย ไม่หนาวมากเหมือนที่จีนด้วย
เจ้าแม่กวนอิมริมทะเล
โปรแกรมมาเก๊าวันนี้ปิดท้ายกันที่ The Venetian เป็น Default ที่แทบทุกคนต้องมาเยือน ข้างในมี Shop ได้เดินเล่น shopping ได้เพียบ ร้านอาหารเยอะ หรือจะเดินเล่นถ่ายรูปเฉยๆก็ฟิน ใครอย่างเสี่ยงดวงก็จัดได้ที่โซนคาสิโน คุณน้องชายเราจัดไป ตอนแรกได้เงินเป็นกอบเป็นกำ สุดท้ายจ่ายคืนไปหมดพร้อมทุนทั้งหมดที่มี สบายตัวสบายใจกันไป  😆
The Venetian
ส่วนเราไหนๆมาแล้วก็ต้องเดินไปจัดทาร์ตไข่ที่ Lord Stow’s อีกที รสชาติอร่อยกว่าร้านที่กินแถววิหารเซนต์ปอลชัดเจน แต่เอาจริงๆถ้าไม่อะไรมาก กินของร้าน Ka-Nom ก็ได้ อร่อยน้อยกว่าไม่มาก ไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่
Lord Stow's Egg Tart
เสร็จจาก Venetian ไกด์ก็พาเราไปขึ้นรสบัสกลับไปข้ามด่านกลับไปค้างจูไห่ ไกด์จีนคนเดิมก็มารอรับเหมือนเดิม ออกจากด่านก็ตรงไปทานข้าวเย็นกันเลย  อาหารรสชาติใช้ได้ มื้อไหนมีไข่เจียวก็รอดละ แถมไกด์ก็เตรียมน้ำพริกให้ชาวไทยไว้แก้เลี่ยนทุกมื้ออีกตะหาก ส่วนเบียร์จีนนี่มีทุกมื้อเหมือนกัน ขอเพิ่มได้ แทบจะให้กินต่างน้ำกันไปเลย
Dinner at Zhuhai
คืนนี้ก็นอนโรงแรมเดียวกับเมื่อคืน เราก็ไปเดินเล่นตลาดนัดกลางคืน shopping กันต่ออีกพักใหญ่เลยล่ะ เสร็จแล้วยังไม่วายติดเบียร์จีนกลับมาบนห้องอีก 2 ขวดนะ เบียร์จีนแอลฯน้อยมาก รสออกซ่าๆนิดๆกินแล้วชื่นใจดี ถูกมากๆอีกตะหาก

15-Mar-2016
วันนี้ตื่นเช้ากันมากเป็นพิเศษ เพราะไกด์ขู่แล้วขู่อีกว่าต้องไปให้ทันเรือ Ferry ที่จะใช้ข้ามไปฝั่งฮ่องกง เพราะถ้าไปช้า เรือไม่รอ ต้องซื้อตั๋วใหม่ทั้งหมด แบบคืนตั๋วไม่ได้ พวกเราเลยต้องตื่นกันเช้ามาก กินข้าวเช้าเสร็จก็ตรงดิ่งไปท่าเรือเลย สรุปไปถึงก่อนเวลานานพอดู นั่งเล่นแกร่วรอกันไป จนได้เวลาขึ้นเรือ ขั้นตอนตรงนี้คือเราต้องลากกระเป๋าของเราผ่านด่าน และลากไปขึ้นเรือ-ลงเรือกับเราด้วยนะ ภายในเรือก็เต็มทุกที่นั่ง มีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง ตั๋วระบุที่นั่งไว้แล้วก็เลยไม่วุ่นวาย
Ferry to Hongkong Ferry to Hongkong
ถึงฮ่องกงไกด์ฮ่องกงคนเดิมกับวันแรกก็มารับไป Repulse Bay เป็นที่แรก รถจะจอดให้เดินเลียบหาดไปที่เจ้าแม่กวนอิม ระหว่างทางก็จะเจอกับร้านอาหาร ร้านค้าที่เปิดเพิ่มมาจากครั้งที่แล้วด้วย อาหารน่ากินหลายร้านเลยนะ
Repulse BayRepulse BayRepulse BayRepulse Bay Repulse Bay
นมัสการเจ้าแม่กวนอิมเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกลางวันกันต่อ ตอนนั้นก็ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ เลทไปมากแล้ว ร้านนี้อยู่แถว Central City Chiu Chow Resturant City Chiu Chow Resturant

กินข้าวเสร็จตามโปรแกรมคือไปร้านจิวเวลรี่ ที่ขายจี้กังหัน แชกงหมิว สุดท้ายโดนเสด็จแม่หว่านล้อมยังกะเป็นเซลล์ยังไงยังงั้น สุดท้ายโดนไปเรียบร้อยเราอัน เปิ้ลอัน ^^” ออกจากร้านจิวเวลรี่แล้วทางไกด์ก็พาไปต่อที่วัดแชกงหมิว เพื่อไปไหว้ขอพร รวมทั้งเอาจี้ที่เราเพิ่งซื้อกันมาไปปลุกเสกต่อหน้าท่านเทพแชกงด้วยเลย
วัดแชกงมิววัดแชกงมิว
จากนี้จริงๆตามโปรแกรมยังต้องมีพาไป Victoria Peak ต่อด้วย แต่ไกด์บอกว่าต้องย้อนกลับไปอีกค่อนข้างไกลเหมือนกัน ให้ทางทัวร์เลือกว่าจะไป Shopping แถวจิมซาจุ่ยให้นานหน่อย หรือว่าถ้าไป Victoria Peak ก็อาจจะแทบไม่เหลือเวลา Shopping กัน สรุปทางทัวร์เลือกไป Shopping นะจ๊ะ เลยกลายเป็นไม่ได้ไป Victoria Peak ซะงั้น แต่เราก็ไม่ซีเรียสอีกน่ะแหล่ะ เพราะเคยไปตอนทริปครั้งก่อนแล้ว ก็ไม่ได้ติดใจอะไรอ่ะ ตกลงกันทั้งคณะได้ตามนี้ ทางไกด์เลยพาไปปล่อยกันแถวย่าน Brand Name ในจิมซาจุ่ย ให้เวลา Free time กันราวๆสองชั่วโมงกว่าๆ จะหาของกินหรือจะช้อปฯก็ตามสบายกันไป
Tsim Sha Tsui
เสียดายที่มีเวลาในฮ่องกงน้อยไป เลยต้องเลือกว่าจะกินอะไรดี จริงๆอยากกินหลายอย่างมาก แต่ด้วยเวลาแล้วเลยตัดสินใจพาแก๊งค์เราเดินไปกินโจ๊กร้านดัง Hung Lee ที่อยู่ในย่านจิมซาจุ่ยนี่แหล่ะ [พิกัด 2A Hou Fook Street, Tsim Sha Tsui, Hong Kong] สั่งโจ๊กตับ-ปลา-ไก่-หมู เกี๋ยวทอด ปาท่องโก๋ บะหมี่ อร่อยทุกชาม (ยกเว้นปาท่องโก๋ มาแบบแข็งๆไม่ร้อน)  ไม่โดนชาวคณะบ่นก็ถือว่ารอดละ  😆
Hung Lee 2Hung Lee
หลังจากอิ่มแล้วก็เดินเล่นช้อปปิ้งแบบสบายๆละ แต่แม่เดินได้ไม่มากก็เมื่อย ตอนชั่วโมงสุดท้ายเลยไปนั่งกินกาแฟรอเวลากันที่ Starbucks แถวจุดนัดพบ ส่วนเปิ้ลก็ไปช้อปปิ้งหา Bioderma ของนางไป ได้เวลานัด รถมารับตามเวลา จากนี้ก็ตรงดิ่งไปสนามบินฮ่องกงเพื่อ Check-in ทางไกด์ก็จะจัดการทุกสิ่งอย่างที่ Counter ให้เรียงคิวเข้าไป Check-in ถ้ามากับทัวร์นี่นน.กระเป๋าก็แชร์กันได้ ขากลับพวกเรามีกระเป๋างอกขึ้นมาอีกหลายใบ จากที่แต่ละคนช้อปนู่นนี่นั่นกันมา ยังงี้ล่ะมั๊งที่ทางทัวร์เลยแจกเป้ samsonite v.จูไห่เพิ่ม จะได้เอาไว้ขนของกลับ :mrgreen:
็Hong Kong Airport
หลังจากโหลดกระเป๋าเสร็จยังมีเวลาเหลือๆ ก็กินอีกรอบสิครับท่าน ร้านอาหารในสนามบินมีเพียบ ถึงจะยังอิ่ม Hung Lee อยู่ก็เถอะ เรากะแม่จัดหมูแดงมาสนอง Need รสชาติใช้ได้ ส่วนเปิ้ลกะโดมก็จัด Pop Eye’s ฟินกันไป
Food @Hong Kong Airport
จากนั้นก็ไปรอขึ้นเครื่องละ เครื่องออกตอน 22:10 โชคดีไม่มี Delay จำได้ครั้งก่อนโน้นที่มาสายการบินนี้เจอ Flight Delay ไปหลายชม.เลย เหอๆ สรุปครั้งนี้ราบรื่นดี แถมโชคดี ได้ที่นั่งด้านหน้า ยืดขาได้ยาวสบายดีมาก แต่อาหารที่เสิร์ฟบน Flight นี้มีแค่ Sandwich อ่ะ -_-! น่าจะเพราะเป็น Flight ดึก คงคาดว่าคนทานอาหารค่ำกันมาหมดแล้ว รอบดึกกิน Snack ไปแทนละกันนะ
Hong Kong Airline
สรุปทัวร์ทริปนี้

  • ค่าทริปคนละ 14,999 บาท + ค่าทิปไกด์ท้องถิ่นต่างหากคนละ 150 หยวน ก็ราวๆ 800 บาท รวมทริปนี้ก็ 15,799 บาท/คน สำหรับ 4 วัน 3 คืน (ราคาทัวร์เปลี่ยนแปลงตามวันที่เลือกไป อาจถูกหรือแพงกว่านี้) ถ้าเลือกไปฮ่องกงอย่างเดียวก็ราคาเท่านี้แหล่ะ ได้ 3 วัน 2 คืนอีกตะหาก เพราะรร.และค่าใช้จ่ายในฮ่องกงแพงกว่ามาก
  • ทัวร์นี้ค่อนข้างเหนื่อย เพราะมีการผ่านด่านไปๆมาๆหลายรอบ ต้องขนกระเป๋าข้ามด่านเอง ทรหดใช้ได้ ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุมากๆ ยังดีที่แม่เรายังไหว
  • สบายดี ไม่ต้องแพลนทริปอะไรเลย ทางทัวร์จัดการให้ทุกอย่างตั้งแต่กรอกใบตม. ขอวีซ่าจีน จัดการโปรแกรมต่างๆ จองตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก ร้านอาหาร รถบัส
  • คุ้ม! ได้ไปหลายที่ในเวลาแค่ 4 วัน แบบที่ถ้าเรามากันเองคงยากที่จะจัดทริปได้แบบนี้ในเวลาเท่านี้ และราคานี้
  • จริงๆการที่ทัวร์พาเข้าร้านขายของหลายแห่งเพื่อเป็นการทำราคาให้ค่าทัวร์ถูกลงนี่มันก็โอเค ถ้าเรามีจิตใจหนักแน่นกันนะ แต่อันนี้ใช้ไม่ได้กับแม่เราเลย ไปทุกทัวร์ทุกประเทศก็เสร็จหมด แทบจะทุกที่ที่ทัวร์พาไป  😥
  • พวกร้านขายของหลายๆแห่งที่ทัวร์พาเข้านี่ เข้าใจว่าต้องมากับทัวร์ถึงจะไปได้(มั๊ง) ก็ไม่เห็นใครดุ่มๆเดินเข้าร้านไปเองนะ เหมาะกับคนที่ตั้งใจอยากมาซื้อจริงๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบซื้อของ อาจจะออกแนวเบื่อๆได้เวลาต้องเข้าไปฟังบรรยายขายของในร้านพวกนี้ เพราะเอาโดยรวมแล้วก็เสียเวลาอยู่ในร้านพวกนี้รวมกันทั้งทริปก็เป็นวันเหมือนกันนะ
  • จากที่พาแม่ไปทัวร์มาหลายครั้งแล้ว ยอมรับว่าแต่ละครั้งเค้าพากินดีใช้ได้เลยนะ คืออาหารเยอะ ไม่มีแบบว่ากินไม่พอไม่อิ่ม รสชาติตั้งแต่ปานกลางจนถึงดี การไปเป็นกรุ๊ปแบบนี้ทำให้ได้กินอาหารหลากหลายด้วย ถ้าไปกันเองสี่คนก็สั่งอาหารได้ไม่เยอะเท่าไหร่ แถมไกด์ยังมีเตรียมน้ำพริกต่างๆให้ชาวคณะทุกมื้อ เผื่อเลี่ยน ทานไม่ได้อย่างน้อยก็กินน้ำพริกไข่เจียวกะข้าวกันไป
  • มีคนให้ปรึกษา: คือมีอะไรถามไกด์ได้ทุกสิ่งอย่าง ถ้าไกด์ไม่รู้เค้าก็หาข้อมูลให้ได้
  • มีคนคอยถ่ายรูปให้: ไกด์จะคอยช่วยถือกระเป๋า ขนกระเป๋า ถ่ายรูปให้ (แต่ก็ไม่ทุกคนนะ)
  • ไกด์แต่ละคนก็จะมีรายได้เสริมจากการขายของลูกทัวร์ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขนม ของฝากต่างๆ ถ้าคิดจะซื้อของฝากอยู่แล้วก็อุดหนุนไปได้ สะดวกดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นทิปไกด์
  • มาหลายๆแห่งแบบนี้การเตรียม Sim / Pocket Wifi เลยทำได้ยาก เพราะต้องใช้ Sim แยกระหว่างฝั่งฮ่องกง/มาเก๊า กับฝั่งเมืองจีน จะเปิด Roaming ก็แพงซะ เลยพึ่ง Wifi เอาก็พอละกัน ซึ่งถ้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆก็จะมี Free Wifi อยู่แล้ว ใช้งานพอแก้ขัดได้
  • Shopping: ของที่ตลาดกงเป่ย เน้นขายพวกเสื้อผ้า Accessories มือถือ ซะเยอะ ราคาถูกมากถ้าต่อเก่งๆ อย่างน้อยควรต่อราคา 50-60% จากราคาที่เค้าบอกมาเลย ไม่ต้องกลัวโดนด่า ไม่งั้นอาจจะมาเจ็บใจทีหลังได้ แต่สำหรับเรานะ ถ้าต่อจนได้ราคาที่เราพอใจแล้วก็จัดไปเถอะ
  • ห้องน้ำ: เราโชคดีมากที่ไม่เจอห้องน้ำที่แย่จนรับไม่ได้ จากคำร่ำลือที่ได้ยินมาเรื่องห้องน้ำเมืองจีน ทำให้การเข้าห้องน้ำแต่ละที่นี่เราต้องลุ้นสุดๆ แต่จากทริปนี้ถือว่าห้องน้ำที่เราเจอถือว่าโอเคนะ แต่มีแม่กับเปิ้ลที่ไปเจอห้องน้ำสาธารณะตรงตลาดกงเป่ยมาครั้งนีง เจอลูกระเบิดใหญ่โตมโหฬารเข้า ทำเอากินข้าวเย็นไม่ลงไปเลย อีกอย่างคือไกด์จะคอยบอกว่าห้องน้ำที่ไหนโอเค ที่ไหนไม่โอเคด้วย อาจจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้รอดมาได้  😆
  • ถ้าถามว่าประทับใจสถานที่ที่ไปในทัวร์นี้มั๊ย บอกได้เลยว่าเราไม่ได้อินที่เที่ยวในเซินเจิ้นกับจูไห่สักเท่าไหร่ ของดีมันก็อย่างที่รู้ๆคือฮ่องกงกับมาเก๊าอยู่ละ แต่ทริปนี้อย่างที่บอกคือมีดีที่ได้เที่ยวเยอะ คุ้มราคา แต่เอาจริงๆทัวร์นี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปอยู่ในจูไห่ซะมากกว่า (ซึ่งไม่มีอะไรเลยจริงๆนะ) ทางรัฐบาลจีนน่าจะพยายามโปรโมทจูไห่มากๆถึงทำราคาได้ดีแบบนี้ แต่เอาจริงๆถ้าอยากใช้เวลากับฮ่องกงมากหน่อย อย่าเลือกโปรแกรมนี้ ส่วนเรานี่บอกได้เลยว่ามาให้รู้ว่าเซินเจิ้น กับจูไห่บรรยากาศเป็นยังไงแค่นั้นแหล่ะ ครั้งหน้าอยู่ฮ่องกง only เหมือนเดิมดีแล้วนะ 555++
Comments