ช่วงต้น Q4 2016 ทางหัวหน้าแจ้งมาว่าให้ไป Training NSO (Network Services Orchestra tor) ที่สิงคโปร์  แต่ช่วงนั้นงานยุ่งมากๆ เลยบอกไปว่ายังไม่อยากไป ทางคนจัดเค้าเลยเสนอ Session# 2 ที่จัดช่วง week ก่อน X’Mas ระหว่างวันที่ 20-22 Dec เราเลยโอเค เพราะจะได้ลาต่อวันที่ 23 อีกวัน แล้วจะได้เที่ยวต่อจนถึง 25 Dec ฉลอง X’Mas ยาวไปเลย  :mrgreen:

สำหรับสายการบินทางบริษัทจองให้เป็นการบินไทย Flight TG407 เราเลือกบินช่วงบ่ายของวันที่ 19-Dec เครื่องออก 13:50 ไปถึงสนามบินราวๆ 11 โมง เผื่อเวลาไว้ กะว่าจะไปนั่งทำงาน + กินรอในเลานจ์ของการบินไทยสักกะหน่อย ไปถึงก็เช็คอินได้เลยใช้เวลาแป๊บเดียว แต่พอเดินมาถึงตรงจุดที่ต้องแสกนกระเป๋าก็อึ้งแป๊บบบบ เพราะคนล้นหลามมากแบบที่ไม่เคยเจอ น่าจะเป็นเพราะใกล้วันหยุด คนเลยเดินทางกันเยอะ จุดนี้ก็เข้าคิวรอแสกนกระเป๋าไปเกือบครึ่งชม.เลย

ผ่านจุดนั้นมาได้ ก็ง่ายละ เราคนไทยไม่ต้องไปต่อแถวตม.ให้ยาว เพราะเราสามารถไปใช้เครื่องอัตโนมัติได้ เร็วกว่าเยอะ และทุกๆครั้งที่ไปก็แทบไม่เคยต้องต่อคิวเลย เครื่องว่างตลอด จากรูปด้านล่างคือเครื่องที่อยู่ด้านซ้ายน่ะ ชาวต่างชาติก็ไปต่อคิวตรวจ passport กับจนท.ทางด้านขวาเอา

ผ่านเข้ามาด้านในแล้วเราก็ไปกันที่เลานจ์ของการบินไทยโลด ภายในสุวรรณภูมิมีเลานจ์การบินไทยหลายจุดมากๆ ครั้งนี้เราขึ้นเครื่องที่ Gate C1 เราก็ไปใช้ Royal Silk Lounge ที่ Concourse C โลด

ณ ปลายปี 2016 ช่วงที่ไป บัตรเครดิตที่สามารถใช้เข้าเลานจ์การบินไทยได้มีตามนี้ (แต่ต้องมี boarding pass การบินไทยด้วยนะ)

ภายในเลานจ์คนไม่เยอะ อาหารมีพอประมาณ ที่เราไม่พลาดทุกครั้งคือผัดไทย อร่อยดี หมดจานแรกก็ค่อยต่อด้วยแซนวิช พาย ซาลาเปา เครื่องดื่มมีให้เลือกทั้งชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ก็มี (ถ้าไป Flight ดึกคงจะฟิน ^^) แล้วก็ไม่ลืมตบท้ายด้วยข้าวต้มมัดซะหน่อย อร่อยเลย

กินไป นั่งทำงานไปด้วย จนเกือบอิ่ม (คือแบบว่าต้องเผื่อท้องขึ้นไปกินบนเครื่องอีกมื้อนะ :mrgreen: ) เลยเวลา Boarding ละ ก็ยังใจเย็น เดินไปเข้าห้องน้ำในเลานจ์ก่อน แล้วค่อยเดินไป Gate C1 (ที่อยู่ใกล้ๆ เดินแป๊บเดียวถึง) พอไปถึงเค้าเริ่ม Boarding กันไปได้สักพักละ ก็สบายเราคือคิวแทบไม่มีแล้ว ไม่ต้องเสียเวลารอหน้า Gate อีก

Flight TG407 ขาไปนี่ Full Flight เต็มทุกที่นั่ง เราเลือกที่นั่งเป็นแบบติดทางเดินเหมือนทุกๆครั้งเพราะชอบนั่งติดทางเดินมากกว่า มันลุกเดินไปไหนๆสะดวก และนั่งสบายกว่าเพราะอย่างน้อยข้างนึงก็โล่ง รู้สึกเหมือนได้พื้นที่เยอะขึ้น สำหรับที่นั่งของเที่ยวบินนี้ไม่มี USB ให้ชาร์จไฟ หนังก็ถือว่าใหม่ดีงามตามท้องเรื่อง ถ้านั่งการบินไทยหนังก็จะมีพากย์ไทย แต่จริงๆอยากให้มี sub ไทยทุกเรื่องด้วยนะ เพราะชอบดู Soundtrack มากกว่า


เวลาบินกับการบินไทย ถ้ามีเมนูแกงให้เลือก เราจะเลือกทุกครั้ง เพราะรสชาติแกงของการบินไทยนี่อร่อยมากๆ ครั้งนี้เราก็ไม่พลาดเหมือนเดิม ขนมก็อร่อย (เหมือนจะเป็นมูสกาแฟ) แล้วเดี๋ยวนี้เค้าให้น้ำเปล่ามาขวดนึงพร้อมอาหารเลยด้วย เพราะงั้นตอนที่พนักงานเข็นรถเครื่องดื่มมาถามต่อว่าจะดื่มอะไร เราก็จัดน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไวน์เบียร์กันต่อไปเลย ไม่ต้องขอน้ำเปล่าแระ  กินๆไปอีกสักพักพนักงานก็มาเสิร์ฟชา-กาแฟอีก ใครกินอาหารไม่อิ่ม ก็คงจะอิ่มน้ำกันไปข้างล่ะ  :mrgreen:

ระหว่างที่อยู่บนเครื่อง พนักงานก็แจกใบตม.ให้ เราก็กรอกให้เสร็จตั้งแต่อยู่บนเครื่องเลย การบินไทยบินขึ้น/ลงที่ Terminal 1  พอออกจากเครื่องเราก็ผ่านตม.ออกมารับกระเป๋าได้แบบรวดเร็ว ตม.ที่นี่คนน้อย ผ่านง่าย สบายมาก

หลังจากรับกระเป๋าแล้วภาระกิจแรกคือซื้อ Sim จากจุดที่รับกระเป๋าเดินต่อไปหน่อยจะเห็นป้ายธนาคาร UOB และถัดไปอีกเจ้าที่เป็นร้านแลกเงิน (Money Changer) 2 ที่นี้มีขาย Sim ด้วย! เราอยู่อาทิตย์นึง เลยซื้อ Sim ของ Singtel มาใช้ ราคา 30 SGD โดยรวมก็ไม่ได้ประทับใจอะไร มีอับสัญญาณบ้างบางที ถ้ามาครั้งหน้าลอง Starhub บ้างท่าจะดีกว่า 🙄

เดินผ่าน Custom ออกมาก็จะเจอป้ายแบบนี้ ใครจะเดินทางเข้าเมืองวิธีไหนเลือกได้เลย ส่วนเราไปเทรนที่ Cisco ไม่ไกลจากสนามบิน โรงแรมก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกันเลย เลยใช้บริการ Taxi นี่ล่ะ สะดวกสุด

โรงแรมที่พักตลอดการ Training ครั้งนี้คือ Capri by Fraser – Changhi City ตอนเลือกโรงแรมก็เข้าไปดู Rating จากใน Traveloka เห็นได้ Rating สูงแถมใกล้ที่เทรนนิ่งเลยจองที่นี่ พอมาถึงก็ไม่ผิดหวังเพราะโรงแรมดีงามพระรามเก้ามาก ชอบทั้งสไตล์ที่ Modern, ขนาดห้องที่กว้างขวาง, TV จอใหญ่ ตู้เย็นขนาดกลางและ Mini Kitchen  รวมทั้งจานชามช้อนส้อมครบมากๆ ซื้ออาหารมากินบนห้องไปทำงานไป ดูหนังไปนี่ฟินมากกกก แถมเตียงนอนนี่หลับสบายสุดๆ ดูดวิญญาณจริงๆ ยกนิ้วโป้งให้เลยรร.นี้


เก็บของ สำรวจห้องเสร็จก็ไปเดินหาของกินต่อดีกว่า ข้อดีสุดๆอีกอย่างของรร.นี้คือมันอยู่ติดกับห้าง Changhi City Point เลยครัช! ที่นี่มีทั้ง Supermarket ร้านอาหาร ของกินเล่น ศูนย์อาหาร ร้าน Shopping Brandname ต่างๆเพียบ แถมร้านพวก Bar ดีๆเก๋ๆก็อยู่ที่นี่ด้วย แบบเดินออกจากหน้ารร.มายี่สิบเมตรถึง เรานี่มาเดินเล่นหาของกินตรงนี้ทุกวันวนไปนะ 555++

จากหน้าห้างมองไปฝั่งตรงข้ามคือ US Biz Hub ที่บริษัทต่างๆตั้งอยู่ รวมทั้ง Cisco Office ด้วย ถ้ามองในรูปดีๆจะเห็น Cisco Logo

อาหารที่กินวนๆกันไป ทั้ง Ichiban Sushi (ร้านนี้ชอบมาก กิน 2 รอบเลย), Texas Chicken (ร้านนี้มีที่เมืองไทย แต่เดินผ่านแล้วเกิดอยากกินบิสกิต), Jollibee (ร้านนี้เป็นไก่ทอดชื่อดังมากจากฟิลิปปินส์ พอลองกินดูก็ต้องยอมรับเลยว่ารสชาติการหมักไก่เค้ามันเข้าเนื้อจริงๆ อร่อยๆ) , Old Changkee (ร้านของทอดชื่อดังของสิงคโปร์ แต่เราไม่ค่อยประทับใจนะ เพราะเค้าไม่ได้ทอดมาให้ใหม่ และของทอดแบบนี้มันคงต้องกินตอนร้อนๆแบบทอดเสร็จใหม่ๆเท่านั้นนะ 😕 ), Fried Carrot Cake จาก Bagus Food Court (อันนี้เหมือนขนมผักกาดบ้านเรา แต่ตัวแป้งเค้านุ่มกว่ามาก ติดใจอยากกินอีกเลย) เราซื้อของกินพวกนี้กลับมากินที่ห้องทุกวัน เพราะซื้อมาจากหลายๆร้าน เอามากินรวมกัน กินไปพร้อมๆกับจิบ Hoegaarden (หิ้วออกมาจาก Duty Free ที่สนามบินเพราะถูกกว่ามาซื้อข้างนอกมากกกกก) ไปดูหนังไปด้วยมันฟินมากกกก  :mrgreen:

Cisco Office อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมเลย ตัว Office อยู่ภายใน UE BizHub East, South Tower ช่วงที่ไปคนน้อยมาก ส่วนนึงคือเพราะใกล้ Christmas แล้ว คนก็เริ่มลากันละ เราเดินสำรวจ Office ที่นี่แล้วชอบมาก เค้ามีห้อง Private เยอะดี ห้อง type นี้เค้าเอาไว้สำหรับเข้าไปนั่งทำงานที่ต้องใช้สมาธิ นอกจากนั้นก็มี Zone ที่ให้นั่ง Relax หลายแบบ, มีตู้เกมส์, ที่ชกมวยคลายเครียด และแต่ละชั้นก็จะมี Theme สีคนละสีกันไป สดใสได้ใจมาก

ช่วง Lunch Break ก็ลงไปกินแถวนั้นทุกวัน ในบริเวณนี้มีร้านน่ากินเยอะ วันแรกไปกินกับพี่แป้นที่บินมาเทรนด้วยกันวันแรกที่ร้าน Yum Cha ร้านนี้คนเพียบ รอคิวกันพักนึงกว่าจะได้กิน เราเห็นเมนูโจ๊กปุ๊บสั่งปั๊บ ส่วนพี่แป้นสั่งเป็น set บะหมี่เกี๊ยว  พร้อมติ่มซำอีก 2-3 อย่าง โจ๊กร้านนี้เนียนอร่อยเลยนะ แต่อย่างอื่นเฉยๆ

วันต่อมาไปกินอาหารฟิลิปปินส์ร้าน Turo Turo เห็นคนเข้าร้านนี้เยอะมาก เลยคิดว่าต้องมีดีแน่ๆ เดินเข้าไปดูจะมีเป็นตู้แกงเหมือนบ้านเราให้เลือกสั่งได้เลย กับมีอาหารย่างๆที่ดูน่าสนใจ แต่ต้องใช้เวลารอสักพัก เราขี้เกียจรอเลยจิ้มสั่งแกงมาลองดูสัก 2 อย่าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะรสชาติกลมกล่อม ทำเอาชอบ อยากลองอาหารฟิลิปปินส์อื่นๆเลย

วันต่อมา เลือกลองอีกร้านที่คนเยอะมากไม่แพ้กัน  คือร้าน Killiney ร้านนี้มีหลายสาขาอยู่นะ ดูจากเมนูแล้วเราเห็นว่ามี Lak Sa ให้สั่งด้วย เลยต้องรีบสั่งมากินก่อน สำหรับวันอื่นๆยังมีแพลนกินอย่างอื่นอีกเพียบ เดี๋ยวจะเก็บได้ไม่ครบ แห่ะๆ สำหรับรสชาติ Lak Sa ร้านนี้ถือว่าทำได้กลางๆถึงดี แต่เราว่าเราน่าจะชอบรสชาติจากร้านพวก Street Food หรือ Hawker’s มากกว่า เพราะมันน่าจะเข้มข้นได้ใจมากกว่านี้ อันนี้เค้าน่าจะทำรสชาติกลางๆให้นักท่องเที่ยวทานได้ง่ายๆ

การ Training จบลงช่วงบ่ายของวันที่ 22-Dec และ Flight ของเปิ้ลก็มาถึงบ่ายวันนี้ เลยนัดเจอกันที่ Lobby โรงแรม เพราะจากที่สนามบินทางรร.มีรถ shuttle รับมาอยู่แล้ว หลังจากพาเปิ้ลเก็บข้าวของที่ห้องเรียบร้อยก็พาไปเดินสำรวจห้าง Changhi City Point พร้อมกับซื้อของกินจากร้านที่อยากกินมากินที่ห้อง พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ Check-Out ออกจากรร. เพราะเราจะเปลี่ยนไปนอนรร.ในเมืองกันบ้างละ

23-Dec-2016
Check-Out ออกจากรร.ช่วงสายๆ แล้วก็ลากกระเป๋ากันเดินไปขึ้น MRT สถานี Expo ที่อยู่ติดกับห้าง Changhi City Point เลย จากรร.เดินไปแค่ราวๆ 200 เมตร ไม่ไกลๆ เราจะนั่งสายสีเขียว ไปต่อสายสีม่วงอีกที มุ่งหน้าสถานี Clarke Quay (ถ้าอยากดู Map เต็มๆ click ที่นี่)

รร. ที่เราจะพักคือ Holiday Inn Express Singapore Clarke Quay คือดูจากราคา รวมทั้ง Rating & Review แล้วถือว่าลงตัว (2 คืน 341.92 SGD คูณเป็นเงินไทยประมาณ 8,800) กะจะไปชิลแถวๆ Clarke Quay ที่ขึ้นชื่อในเรื่องผับ บาร์ ชิลๆเยอะด้วย เลยจัดเลย แต่พอมาจริงๆแล้วรร.อยู่ห่างจาก MRT พอสมควร แบบว่าเดินเหนื่อยนะ ยิ่งวันนี้ที่ต้องลากกระเป๋าเดินจาก MRT กว่าจะมาถึงรร.นี่เล่นเอาเหงื่อตก … พอมาถึงก็ Check-In ขึ้นห้องเรียบร้อยกระโดดขึ้นเตียงก่อน ลืมถ่ายรูป สภาพเตียงเลยยับๆหน่อย 555+ ตัวห้องดูดี ทันสมัย แต่แคบไปหน่อย

เก็บของเสร็จรีบเดินออกมาจากรร. เราแพลนกันว่าจะไปกินปูที่ร้าน Jumbo Seafood ที่อยู่ห่างจากโรงแรมไม่ไกล สาขาที่ไปกินคือ Riverside Point อยู่เลียบแม่น้ำ Clarke Quay ช่วงมื้อกลางวันทางร้านเปิดเที่ยง-บ่ายสาม (แต่ Last Order 14:15) และเปิดอีกทีคือตอน 6 โมงเย็น ตอนเก็บข้าวของเสร็จนั่นก็เกือบจะบ่ายสองแล้ว เลยต้องรีบเดินจ้ำกันไปเลย ยังดีที่เดินจากรร.ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแระ

สั่ง Chilli Crab (70 SGD) + กุ้ง Cereal (24 SGD) + Mini Bun (2.8 SGD / ลูก) รวมน้ำ ++ แล้วมื้อนี้ 123 SGD Zประมาณสามพันกว่าบาท) รสชาติตัวปูออกหวาน กุ้งซีเรียลก็ออกหวานนิดๆ สำหรับเราเราว่าปูกะกุ้งก็ธรรมดานะ แต่เอา bun จิ้มน้ำ Chilli Crab นี่อร่อยเพลินมาก สรุปร้านนี้โอเค แต่ก็ไม่ได้ติดใจแบบต้องกลับมากินอีกอ่ะ


ออกจาก Jumbo เราไปต่อกันที่น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง หรือ Fountain of Wealth ที่ Suntec City ก่อนเลย วิธีการไปคือนั่ง MRT ไป สามารถเลือกลงได้หลายสถานีตามด้านล่าง
1. สถานี Promenade พอขึ้นมาจากสถานีก็เดินต่อไปอาคาร Suntec City
2. สถานี Esplanade เดินเข้าไปในตัวตึก Suntec City และเดินตามป้ายบอกทางมายัง Fountain of Wealth — เรามาวิธีนี้
3. สถานี City Hall ออกมาแล้วเดินไปตามทางเชื่อมของ CityLink Mallชั้นใต้ดิน ไป Suntec City

ไหนๆเรามาถึง Suntec City แล้ว รู้มาว่าที่นี่มีร้าน J.CO Donut ที่อยากลองมานานแล้ว เลยจัดเลย สั่งมาหลายชิ้น ดีงามหมด อยากให้มีที่เมืองไทยบ้างงงงง

เติมพลังเรียบร้อย ไปต่อกันที่ Marina Bay Sands ข้างในก็หลักๆเป็นร้านค้าให้ Shopping มีเรือ Gondola เลียนแบบเวนิส เราเคยมาแล้ว ส่วนเปิ้ลก็เฉยๆเลยเดินกันแบบเร็วๆ ถ่ายรูปด้านนอกกันซะมากกว่า

ถ่าย Panorama ซะหน่อย ^^

ส่วน Merlion นี่อยู่อีกฟากนึง แบบว่าขี้เกียจเดินไป เลยขอลองประสิทธิภาพการ zoom ของ Sony WX-500 ซะหน่อยนะ ออกมาโอเคอยู่นะเนี่ยะ Super Zoom มากกกกก ตาม Feature ที่ตั้งใจซื้อมาเลย 555+

ด้านหลัง Marina Bay Sands คือ Garden by the Bay ไหนๆเรามาถึงตรงนี้แล้ว แวะไปเดินเล่นหน่อยละกัน แต่อยู่กันไม่นานเท่าไหร่ เพราะฝนเริ่มตก!

เดินกันได้ไม่นานฝนก็มา เลยขึ้น MRT ไปเดินเล่นแถว Orchard  ต่อ คือทริปนี้คุณนายเปิ้ลแกกะจะตระเวณร้าน Charles & Keith ให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ สุดท้ายจำไม่ได้แล้วว่ารวมทั้งทริปจัดไปถึงสิบสาขาหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะนะ  🙄 ออกจากสถานี Orchard มาเจอห้าง ION  ร้านค้าในนี้มีเพียบ เดินเล่นกันยาวๆจนเริ่มหิว มื้อเย็นวันนี้ด้วยความอยากกินหลายๆอย่าง และขี้เกียจเดินหาร้านเพราะฝนตกไม่เลิกราสักที เลยจบกันที่ Food Rebublic  อาหารในนี้มีให้เลือกหลากหลาย แต่ที่นั่งนี่ต้องแย่งชิงกันหน่อย เดินวนไปๆมาๆ สรุปเปิ้ลได้เป็นเป็ดย่าง หมูแดง เกี๊ยวน้ำ ส่วนเราได้เป็นก๋วยเตี๋ยวผัดมาอร่อยดี แต่ที่เด็ดสุดคือของหวาน Chendol นี่แหล่ะ ตอนแรกสั่งมาชิมถ้วยเดียว แต่ติดใจต้องไปสั่งเพิ่มอีก มันคล้ายๆลอดช่องบ้านเรา แต่อร่อยกว่าอ่ะ เค้ามีผสมถั่วแดงลงไปด้วย กินรวมๆกันแล้วสดชื่นมากกกกก

กินอิ่มกันแล้ว ก็กลับรร.นอนพัก เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ตะลุย Universal Studio!

24-Dec-2016

เติมพลังตอนเช้าด้วยอาหารเช้าของรร.ก่อนไปลุยสักหน่อย ที่ Holiday Inn Express เค้าจะมีอาหารเช้ารวมมาให้อยุ่แล้ว แต่จะออกแนว Quick Breakfast ไม่ได้มีตัวเลือกเยอะมาก แต่ถือว่าโอเคมาก รสชาติดี ตามสไตล์เครือนี้อยู่ละ

จากรร.ไป Universal Studio ก็คือขึ้น MRT ไปลงสถานี Harbour Front –> Exit E to VivoCity –> เดินขึ้นไปชั้น 3 เพื่อไปขึ้น Sentosa Express ลง Waterfront station วันที่ไปเป็นวันเสาร์ คนเยอะเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับแน่น มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายกับสัญลักษณ์และทางเข้าของเค้าหน่อย

เข้าไปแล้วก็เดินเล่นเก็บรูป + ต่อคิวเล่นเครื่องเล่นที่อยากเล่น

เริ่มจาก Zone Sci-Fi City กันก่อน เดินเข้าไปต่อคิวเล่น Transformers  The Ride: The Ultimate 3D Battle  ก่อนเลย คิวยาวมากกว่าจะได้เล่น สรุปว่าเฉยๆอ่ะ คงเพราะพวกเราไม่ได้เป็นสาวกพวกเครื่องเล่น 3D/4D เท่าไหร่ เล่นแล้วพาลจะมึนหัวอีกตะหาก

ต่อกันที่ Zone Lost World สำหรับแฟนๆ Jurassic Park น่าจะชอบ Zone นี้จริงๆมีเครื่องเล่นอย่าง Jurassic Park Rapids Adventure ที่น่าเล่น แต่เด็กๆวัยละอ่อนไม่อยากเปียกน้ำอย่างพวกเราเลือกไปเล่น  Canopy Flyer กันขอรับ  😆  เล่นเสร็จลงมาพักหาอะไรรองท้องกันต่อที่ Discovery Food Court ก่อนไปดู Show WaterWorld ที่อยู่ใน Zone นี้เหมือนกัน

WaterWorld นี่เคยได้ดูที่ Universal USA แล้ว ตอนนั้นเฉยๆ แต่พอมาดูที่นี่แล้วรู้สึกว่าดีกว่า มันส์กว่า ลุ้นกว่านะ นักแสดงเล่นดีมากกกกก ชื่นชมนักแสดงหญิง นางสตรองจริงๆ เห็นนางเล่นแล้วยังเหนื่อยแทน  😆

เดินต่อเข้า Zone Ancient Egypt อยากเล่น Revenge of the Mummy แต่ Jackpot พอเดินไปถึงบอกปิดซ่อมให้กลับมาใหม่เย็นๆ พอตอนเย็นเดินกลับไปก็ยังซ่อมไม่เสร็จ เลยตัดใจ ไม่เล่นก็ได้ฟะ  😕

สำหรับผู้ใหญ่ใจเด็กแบบเรา พลาดไม่ได้กับ Zone Far Far Away ที่นี่เราได้เล่น Shrek 4-D Adventure (ชอบมากกว่า Transformer นะ เหมือนได้ดูการ์ตูน Shrek ไปด้วย มันดูมี Story ฮาๆ) กับ Enchanted Airways (อันนี้เป็นแนว Roller Coaster แบบไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เล่นขำๆ)

เพราะพวกเราไม่ได้เน้นว่าต้องเล่นเก็บทุกเม็ด แถมฝนเริ่มตั้งเค้าจะตกอีกแระ เลยกลับดีกว่า ปรากฏว่าต้องไปรอคิวขึ้น MRT กลับไปที่ Vivo City อีกเกือบชม.!  🙁  จุดหมายถัดไปของเราคือกินสิคร้าบกับร้านที่ใส่ไว้ใน list เลยว่าห้ามพลาด “Song Fa bak kut teh อยู่ตรง MRT China Town เลย รอคิวอยู่ราวๆ 15 นาทีพอไหว รสชาติเด็ดดวง ติดใจอยากกลับไปกินอีก >_<

อิ่มแล้วก็ไปสำรวจย่าน Clarke Quay / Riverside Point ตอนกลางคืนหน่อย แถวนี้มี Pub /Bar เยอะเลย หนุ่มๆสาวๆวัยทำงานเพียบ เพราะราคาแต่ละร้านค่อนไปทางสูงหน่อย แต่บาร์แถวนี้ดูดีเลยนะ

เดินวนๆอยุ่สักพักให้พอได้บรรยากาศ แต่สุดท้ายเลือกไปนั่งจิบเบียร์ต่อที่ร้าน Brewerkz ดีกว่า ร้านนี้แนวชิลๆไม่วุ่นวาย เน้นจิบเบียร์ไปดูวิวแม่น้ำและคุยกันไป เล็งไว้ตั้งแต่วันก่อนที่เดินกลับรร.แระ และก็ขาดไม่ได้คือ French Fries แกล้มเบียร์นี่แหล่ะ ร้านนี้ทอดมาได้อร่อยมาก ส่วนเบียร์ที่สั่งเป็น Wheat Beer ราคาโหดอยู่เหมือนกัน เพราะที่นี่ขายเบียร์ราคาไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา หลัง 7PM แล้วเหยือขนาด 1.4 L นี่ 40 SGD กันเลย แต่ถ้ามาช่วงเที่ยง – บ่ายสาม จ่ายแค่ 19 SGD เองอ่ะ  😕

25 Dec 2017
ตื่นสายๆยังไม่ check-out เพราะเป็น member IHG เลยได้สิทธิ์อยู่ยาวได้ถึง 4PM แต่พวกเรามีแพลนว่าจะไปเดินเล่นแถว China Town + กินข้าวมันไก่ Tian Tian + ไปวัดพระเขี้ยวแก้ว เลยตื่นสายๆแล้วค่อยๆเดินเล่นแบบใจเย็นออกมาจากรร. มุ่งหน้า Maxwell Food Court ในย่าน China Town จากรร.เดินไปได้ แต่ไกลหน่อย ถือว่าออกกำลังกายก่อนกินละกันนะ เดินไปยาวๆจนเจอ Hotel 81 ยอดฮิต ที่ Cross St. รร.นี้สวยดี เด่นเป็นสง่ามาก แต่ก็ยังไม่ถึงจุดหมาย เราต้องเดินตรงต่อไปอีก จนเจอถนน South Bridge Road แล้วค่อยเลี้ยวขวา

เวลาไปเที่ยวแล้วไม่ได้เตรียมเส้นทางอะไรล่วงหน้ามาก่อน วิธีที่ใช้ประจำคือเปิด Google Maps แล้วเดินตามไปเลย ง่ายสุดละ เราก็ใช้วิธีนี้แหล่ะ โดยจาก South Bridge Road เราจะมาเลี้ยวขวาที่ Maxwell Rd ก็จะเจอ Maxwell Food Centre ตอนที่ไปเค้ากำลังทำถนนอยู่พอดี

ด้านในมีอาหารให้เลือกเพียบ แต่เรามีจุดมุ่งหมายอยู่ 2 ร้าน คือข้าวมันไก่ Tian Tian กับ ร้านโจ๊ก Zhen Zhen  ข้าวมันไก่ สั่ง size S มาสองจาน จานละ 3.5 SGD ไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษ เค้าเลยให้เป็นติดหนัง 1 ไม่ติดหนัง 1 มา เราว่าอร่อยเลยนะ ไก่จะสไตล์หนานุ่ม (คนละแบบกะพิซซ่านะจ๊ะ 😆 )  ข้าวไม่มันมาก ร่วนอร่อยกำลังดีเลย น้ำจิ้มก็โอเค แต่ชอบแบบของไทยเรามากกว่า

ส่วนโจ๊ก Zhen Zhen นี่มันไม่ใช่แนวโจ๊กฮ่องกงนะ คือมันออกกึ่งข้าวต้มนิดๆ แต่อร่อยมาก ที่ร้านจะมีแค่โจ๊กปลา/ไก่/ไข่เยี่ยวม้า เราเลยสั่งเป็นโจ๊กปลา+ไข่มาโด้ปซะหน่อย สั่งชามเล็ก + ไข่ ราคาแค่ 3.3 SGD เท่านั้น สำหรับหอยแครงในรูปนั่นจากร้าน Rojak.Popiah&Cockle เปิ้ลเห็นแล้วอดไม่ได้เลยจัดซะหน่อย จานเล็กราคา 3 SGD เป็นหอยแครงตัวเล็กๆกว่าบ้านเรา แต่สดหวานมาก เสียดายไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดไม่งั้นจะแหล่มเลย

อิ่มแล้ว ก็เดินย้อนกลับไปทางถนน South Bridge ทางที่เราเดินมา ก็จะเจอวัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) เราเคยมาครั้งนึงละ ตอนที่มากับแม่และน้องทริปที่แล้วตอนปี 2011 วัดนี้สร้างได้สวยมาก มีหลายชั้น โดยชั้นบนจะเป็น Museum ให้เดินชมได้ ใครไม่อยากเดินมีลิฟต์ให้ใช้ได้ด้วยนะ ภายในติดแอร์เย็นดี ^^

ออกจากวัดก็ไปเดินเล่นซื้อของฝากแถว China Town ที่อยู่ติดๆกันนั่นเลย พวกเสื้อยืด พวงกุญแจ Magnet หรือ Tag ติดกระเป๋าเยอะมาก ราคาครือๆกันทุกร้าน

ภาระกิจสุดท้ายก่อนกลับไป Pack ของ & Check Out ที่รร. คือไปซื้อหมูแผ่นให้เจ้านายเปิ้ลก่อนที่ Bee Cheng Hiang ร้านที่ไปอยู่บนถนน New Bridge เลย หาง่ายมาก ปกติไม่ใช่คนที่กินหมูแผ่นเท่าหร่เลยไม่รู้ราคามาก่อน พอเห็นราคาหมูแผ่นร้านนี้แล้วเลยแบบว่า … หมูแผ่นนี่มันแพงยังงี้เลยเหรอฟระ?!? … 53-67 SGD / Kg แล้วแต่ว่าเลือกแบบไหน  🙄

กลับถึงรร.เราก็ Pack ของที่เพิ่งซื้อมาใส่กระเป๋า แล้วก็ไป Check-Out ตอนเกือบสี่โมง พวกเราขึ้น Taxi จากหน้ารร.ไปสนามบินเลย คือขี้เกียจเดินไป MRT + ไปต่อขบวนรถให้เหนื่อย แต่ราคาก็ไม่แพงมากนะ จากรร.ไปถึงสนามบินจ่ายไปประมาณ 16 SGD (ราวๆ 400 บาท) ไปสองคนถือว่าคุ้มนะ ได้ความสะดวกมากขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องลากกระเป๋าจากรร.ไปต่อรถไฟให้เหนื่อย (แต่ต้องระวังหน่อย เพราะ Taxi Rate ที่สิงคโปร์นี่ราคาไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา อย่างช่วงเช้า 6:00-9:30 กับหลัง 6 โมงเย็น-เที่ยงคืน ราคาจะบวกเพิ่มไปอีก 25% ด้วย แต่ Taxi ที่นี่เค้ารับบัตรเครดิต เพราะงั้นไม่ต้องกลัวว่าเงินสดไม่พอจ่าย 555+) จาก Clarke Quay ไปถึงสนามบินใช้เวลาแค่ราวๆครึ่งชม. ช่วงสี่โมงเย็น เพราะรถไม่ติด แต่เพราะความที่ดันไปถึงเร็ว และ Counter การบินไทยจะเปิดให้ Check-in ก่อนเวลาเครื่องออกแค่ 2.5 ชม. ไม่ใช่ 3 ชม.ตามปกติที่เข้าใจ เราเลยต้องเดินไป  Check-in กันที่ Early Check-in Lounge กัน

จากนั้นก็เข้าไปด้านใน คุณนายเปิ้ลยังจะขอเก็บ Charles & Keith ในสนามบินอีก แถมที่นี่มี shop อยู่ทั้ง T1, T2, T3 เลยด้วย! สำหรับคนที่วางแผนจะไป shop ต่อในสนามบิน สามารถเช็คร้านค้าได้ที่ web ของ Changhi Airport  การเดินทางระหว่าง Terminal นี่เราใช้ Skytrain ไปๆมาๆได้เลย ส่วน Shop ในนี้มีเยอะมาก ถ้ามีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องนี่รับรองว่าไม่เบื่อแน่ๆ

หลังจากเสร็จภาระกิจ Shopping เรียบร้อย ก็ขอเข้าไปนั่งเล่น หาของกินใน Plaza Premium Lounge ซะหน่อย ใช้สิทธิ์จากบัตรเครดิต KTC JCB Platinum ได้ บัตรนี้ดีงามมาก เอาไว้ใช้เข้า Lounge ได้หลายประเทศ ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีด้วย สำหรับพิกัดของ Lounge นี้จะอยู่ที่ชั้น 3 ปีกฝั่งตะวันตกของ Terminal 1 เดินตามป้าย Lounge ไปได้เลย ไปทางเดียวกับทางไปขึ้น Skytrain

Lounge นี้กว้างมาก มีที่นั่งให้เลือกได้หลายแบบ มีห้องน้ำ/ห้องอาบน้ำในตัว ส่วนอาหารมีไม่เยอะมาก แต่ถือว่าโอเคแล้ว มีอาหารสั่งทำแบบเสิร์ฟร้อนด้วย วันที่ไปมีหลักซา กับ American Breakfast เลยจัดคู่มาเลย แถมยังมี Temaki ให้สั่งได้อีกตะหากเลยจัดมาด้วย นอกนั้นก็จะเป็นของกินเล่น ชา กาแฟ น้ำอัดลมต่างๆ แต่ไม่รวมพวกแอลกอฮอล์ ถ้าใครอยากดื่มก็มี Counter แยกต่างหากให้สั่งได้

นั่งเล่น กินกันไปเรื่อยๆจนพุงเกือบแตกแระ ได้เวลาขึ้นเครื่องพอดี ก็เดินไปที่ Gate พวกเราจะขึ้น TG 408 ลำนี้กลับละนะ ^^

อาหารบนเครื่องเป็นข้าวผัดกับไก่อะไรสักอย่าง รสชาติธรรมดาทั่วไป ส่วน Personal TV จอเก่าไปหน่อย และไม่มี USB Port ให้ชาร์จไฟ ที่อยาก comment เพิ่มหน่อยคือสายการบินไทย น่าจะมีหนังที่มี sub-title ไทยมากกว่านี้ บางทีเครื่องบินเสียงมันดัง จะไม่ค่อยได้ยินเสียงจากในหนัง และก็ไม่อยากเร่งเสียงให้ดังมากเกินไป ถ้ามี sub-title นี่จะช่วยได้ดีเลย เท่าที่เห็นจากหลายๆ flight ของการบินไทย จะมี sub ไทยน้อยมาก อย่าง flight นี้ส่วนใหญ่เป็น sub จีนนะ ยังดีที่พอมีหนัง sub ไทยอยู่บ้าง (ที่ยังไม่เคยดู  😆 ) จิ้มได้มาเป็นเรื่อง I.T. หนังไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ก็ดูได้เพลินๆ

และทริปนี้ก็จบไป ขอบคุณที่ทำงานที่ส่งมาเทรน พร้อมให้กินดีอยู่ดี โดยรวมเราว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง และไม่ค่อยมีอะไรน่าดึงดูดมากสักเท่าไหร่ คือถ้ายังไม่เคยมาก็ควรมา แต่พอมาแล้วก็ไม่ได้ขวนขวายอยากกลับไปอีก ถ้าพูดเรื่องอาหารการกินเรายังเลือกที่จะไปฮ่องกงมากกว่า ถ้าเทียบจากค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกัน แต่ที่ฮ่องกงมีที่กิน ที่เที่ยว ที่ shopping เยอะกว่า แต่ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหา อยากไปที่ที่ตอบโจทย์ได้ทุกสิ่งอย่างทั้ง ของกิน/ที่เที่ยว/shopping/ผู้คน/วัฒนธรรม ล่ะก็ขอแนะนำให้ไปญี่ปุ่นเลยขอรับ ตอบโจทย์ได้หมดครบเลย แต่เอาจริงๆแล้วประเทศไทยเรานี่แหล่ะมีทุกอย่างครบมากอยู่แล้ว ทั้งอาหาร ที่เที่ยวสวยๆ ส่วนเรื่อง shopping ถ้าไม่ใช่ brand name นี่บ้านเราถูกกว่าประเทศอื่นมาก ยกเว้นพวกเครื่องสำอางค์ หรือกระเป๋า/รองเท้า Brand Name อย่างทริปนี้เปิ้ลก็ขน Charles & Keith กลับมา เพราะที่สิงคโปร์ถูกกว่าที่เมืองไทย 30-40% เราก็ยังได้กระเป๋ากลับมาฝากคุณนายแม่ด้วยเหมือนกัน ^^

Comments