ทริปโฮจิมินห์นี่เป็นทริปที่ไม่ได้เคยคิดอยากไปมาก่อนเลย แต่พอดีดันได้โปรฯจาก airasiago.com บินไป-กลับ 2 คน พร้อมโรงแรม 2 คืน ราคาแปดพันกว่าๆ ตกคนละ 4 พันกว่าๆเอง ราคาไม่ต่างจากเที่ยวเมืองไทย เลยจัดการจองซะ ส่วนแผนการเที่ยวนี่ค่อยคิดทีหลัง
ปี 2013 นี่เราเที่ยวสมบุกสมบันมาก เพราะได้โปรฯของ Air Asia มาตลอดทั้งปี ทริปนี้เลยอยากไปแบบชิลๆบ้าง แบบว่าเที่ยวจนเหนื่อยแล้ว 555++ สุดท้าย theme ของการเที่ยวทริปนี้เลยเอาแค่เดินเล่นชมเมือง + หาของกินอยู่ในโฮจิมินห์ละกัน

7 Nov 2013
มาถึงดอนเมืองประมาณ 6:15 วันนี้เดินทางด้วย Flight เช้า FD2790 เครื่องออก 7:45  ทำ web check-in มาแล้วเรียบร้อย กะจะแบกกระเป๋าขึ้นเครื่องเลยไม่ต้องไปต่อคิว load กระเป๋าที่ counter แต่เพราะบินออกนอกประเทศยังไงก็ต้องไปขอ immigration card ที่เจ้าหน้าที่ของ Air Asia มาก่อน เพราะต้องกรอกก่อนที่จะผ่าน immigration

ตอนเช้าๆแบบนี้คนไม่ค่อยเยอะ แป๊บเดียวก็ผ่าน immigration & ตรวจกระเป๋ามาเรียบร้อย จากตรงนี้ไปจะเป็น Duty Free และ Zone ร้านอาหารที่มีตั้งแต่ Fuji, Piri Piri, Subway, S&P, Dairy Queen, Starbucks, Mc Donald’s ซึ่งเราตั้งใจมาแล้วว่าเช้าๆแบบนี้ก็ต้องชุดอาหารเช้าของ Mc Donald’s เท่านั้น เช้านี้จัดชุด Sausage Mc Muffin with Egg ไปพร้อมHash Brown และเครื่องดื่มที่สามารถเลือกชา กาแฟหรือเปลี่ยนเป็นน้ำอัดลมก็ได้ เราเลยขอจัด Latte มาปลุกให้ตัวเองสักหน่อย รองท้องเรียบร้อยก่อนจะไปจัดหนักกันต่อที่โฮจิมินห์

1. McDonald

กรุงเทพฯ-โฮจิมินห์ ใช้เวลาบินประมาณ 1:30 ชม. นั่งไม่นานก็ถึงแล้ว  ไปถึงก็ไม่ต้องปรับเวลาอะไรเลย เพราะเวลาเดียวกับประเทศไทย เดินออกมาจาก Gate แล้วก็ต้องไปผ่าน immigration ของเค้า ซึ่งจะบอกว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่โหดมาก เรายกกล้องขึ้นจะถ่ายรูปเก็บบรรยากาศภายในอาคาร แต่เจ้าหน้าที่เดินมาสะกิด (แบบแรงๆ) และพูดโหดๆว่าห้ามถ่ายรูป!! เราก็แบบว่ารายฟะ ไม่เห็นมีป้ายห้ามถ่ายรูปเลย แล้วถ้าจะไม่ให้ถ่ายก็พูดดีๆสิฟะ -_-!

ผ่าน immigration & zone รับกระเป๋าแล้ว เดินออกมาจะเจอ counter Foreign Exchange และ ค่ายมือถือเรียงกันอยู่ทั้งฝั่งซ้าย-ขวาเลย ซึ่งเรทก็จะใกล้เคียงกันมากๆ และทุก counter เขียนป้ายไว้เลยว่า “No Commission” คือไม่คิดค่าบริการเพิ่มถ้าแลกเงินที่นี่ เพราะก่อนหน้านี้ในรีวิวคนที่มาเที่ยวจะบอกว่าถ้าแลกเงินที่สนามบินต้องเสียค่าธรรมเนียม 3% ตอนนี้คงยกเลิกกันไปหมดแล้ว เห็นแบบนี้เราเลยลองแลกเงินกันน้อยๆก่อนที่คนละ 20 USD เพื่อจะเอาไปใช้ขึ้นรถเข้าเมืองกัน ได้เรท 21,070 VND / USD ได้มา 421,400 VND

หลังจากแลกเงินแล้วเราก็ไปดู Sim 3G เอาไว้ใช้ในโฮจิมินห์กันต่อ มี VinaPhone กับ MobiPhone เราเลือก VinaPhone ที่อยู่ตรง counterซ้ายมือสุดเลย โดย package ก็จะมีให้เลือกหลากหลาย ถ้าใช้ nano/micro sim ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 25,000 VND ด้วย เราเลือกซิมการด์แบบราคา 100,000 VND + Nano/Micro sim 25,000 VND =  125,000 VND (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 187.50 บาท) และเลือก Package 3G แบบ 600 MB ราคา 70,000 VND เพราะคำนวณแล้วว่าเวลาแค่ 3 วัน 2 คืน น่าจะไหวอยู่ ตัด package data แล้วก็เหลือเงินในซิมไว้โทรหากันหรือโทรกลับเมืองไทยได้อีก 30,000 VND

เสร็จภาระกิจภายในสนามบินเรียบร้อยเราก็จะไปขึ้นรถเข้าเมืองกันละ โดยหลักๆวิธีการเข้าเมืองจะมี 2 ทางคือนั่ง Taxi หรือ รถบัสสาย 152 แต่เนื่องจากมีกระทู้เตือนเรื่องการโดนหลอกฟันค่า Taxi ค่อนข้างเยอะ เราเลยเลือกนั่งรถบัสขาเข้าเมืองก่อนดีกว่า แล้วขากลับค่อยนั่ง Taxi กลับมา โดยการขึ้นรถก็คือเดินออกจากภายในอาคารสนามบินแล้วเลี้ยวขวาแล้วเดินผ่านฝูงคน & Taxi ที่มารอรับผู้โดยสารหน้าอาคารไปเลย รถจะจอดอยู่ประมาณมุม 45 องศาจากประตูด้านหน้าอาคารเลย หาง่ายมาก

ขึ้นรถไปก็จ่ายค่าโดยสาร โดยค่าโดยสารจากที่หาข้อมูลมาก็ไม่ค่อยจะแน่นอนอยู่ระหว่าง 4,000-10,000 VND สำหรับเรามีกระเป๋าลากไปด้วย โดนเก็บคนละ 10,000 VND เราเลยใช้สิทธิ์เอากระเป๋าวางไว้บนที่นั่งต่างหากไปเลย 555++

2. Vietnam Airport & Bus

มาถึงวันนี้ฝนตกพรำๆ นั่งอยู่บนรถก็คิดอยู่ว่า เดี๋ยวต้องเดินตากฝนเข้าโรงแรมแน่ๆเลยแฮะ เปียกชัวร์ แต่ในใจก็ภาวนาให้ฝนหยุดนะ (แต่การภาวนาล้มเหลว -_-) สุดท้ายพวกเราก็มาลงรถกันที่ท่ารถหลังตลาด Ben Than ซึ่งจะอยู่บริเวณวงเวียนนั่นเอง โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจากสนามบินก็ถึง นั่งดูข้างทางมาเพลินๆไม่น่าเบื่อ

วงเวียน

จากตรงท่ารถ ลงไปแล้วเริ่มงงว่าเราจะเดินไปโรงแรม Lan Lan 2 ทางไหนนะ รู้ว่าอยู่หลังตลาดแต่ ณ จุดนั้นลงรถแล้วยังหลงทิศอยู่ ฝนก็ตก เวลาแบบนี้ GPS ช่วยได้ดีเยี่ยม เดินตาม Google Maps ไปเลย ถึงโรงแรม(แบบเปียกๆ)กันตอน 11:00 โชคดีที่โรงแรมใจดี ให้เรา Early Check-in เลยได้ขึ้นไปเก็บกระเป๋า + พักกันสักนิดก่อน

ห้องที่จองมาเป็นห้อง Deluxe แต่ขนาดก็ไม่ใหญ่ แต่ดูสะอาด เตียงนอนสบายใช้ได้ ที่สำคัญมีทีวีจอแบนเหมาะกับอุปกรณ์ entertain ที่อุตส่าห์พกมาด้วย (media player + หนัง & series … ก็บอกแล้วว่าทริปนี้มาชิล ^^) เสียอย่างเดียวคือปลั๊กที่ชาร์จในห้องมีแค่ 2 จุดคือในห้องน้ำกับข้างทีวี ไม่พอสำหรับอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ที่พกมา ต้องใช้ 3 ตาต่อเอา เดี๋ยวนี้เวลาจะเดินทางไปที่ไหนควรพก 3 ตาไปด้วยเพราะมักจะเจอแบบนี้แหล่ะ

3. Hotel Lan Lan 2

สำรวจห้องเสร็จ พักเหนื่อยกันเล็กน้อย แล้วก็ออกไปตะลุยหาของกินกัน  จากโรงแรม เดินไปตลาด Ben Than ใกล้มาก ราวๆ 200 เมตรเท่านั้นเอง ร้านอาหารแถวตลาดมีให้เลือกหลายร้าน แต่เรามีลิสต์ในใจอยู่แล้วว่ามาที่เวียดนามนี่ต้องลอง Pho24 กับ Pho2000 เพราะงั้นต้องเก็บตามลิสต์ซะก่อน ร้านอื่นๆถ้าเหลือท้องให้ใส่แล้วค่อยว่ากัน แต่ด้วยความที่เรายังไม่หิวกันมาก เลยขอเดินเข้าไปดูในตลาด Ben Than ก่อนละกัน

Ben Than Market

เดินเข้าไปเจอของขายเยอะมาก ทั้งพวกกระเป๋า เป้ เสื้อผ้า หมวก ของที่ระลึก ผลไม้อบแห้ง กาแฟ รวมทั้ง zone อาหารด้วย เดินผ่านร้านนึงเห็นคนนั่งรอกันเพียบดูน่าสนใจดี ดูจากชื่อมันคือ bánh bèo ซึ่งก็คือ Rice Cake ชนิดต่างๆ มองสักพักก็นึกไม่ออกว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง เลยตัดสินใจว่าถ้างั้นคงต้องลองละ สั่งไปจานนึงแบ่งกันชิมละกัน รสชาติก็เหมือนแป้งหลายๆแบบ (มีแบบนึงรสชาติเหมือนขนมเทียนเลย) ราดน้ำซอสสูตรเฉพาะของเค้า ออกเผ็ดนิดๆหวานหน่อยๆ เอาเป็นว่ากินได้แต่ไม่ได้ถูกใจ

 4. Banh Beo

ชิมเสร็จแล้วก็ไปล้างปากกันต่อร้านที่ตั้งใจมากินดีกว่า มี Pho24 กับ Pho2000 ให้เลือก ร้านอยู่ตรงข้ามตลาด Ben Than เลย แถม 2 ร้านนี้อยู่เกือบติดๆกันอีกต่างหาก วันแรกนี่เลือกชิม Pho24 ก่อนแล้วกัน เราสั่่ง Appetizer & เฝอเนื้อ ส่วนเปิ้ลสั่งเฝอไก่ ร้านเฝอที่นี่จะเน้นเนื้อวัว ถ้านอกจากเนื้อวัวแล้วก็จะมีไก่เป็นทางเลือกทางเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ทำเฝอหมู พออาหารมาก็จัดเลยทันที บอกได้เลยว่าธรรมดามากๆ ร้านเฝอที่ลาวอร่อยกว่าเยอะ ร้านในกทม.บางร้านยังดีกว่า แต่ก็ไม่ได้ไม่อร่อยนะ เพียงแต่มันธรรมดามากถ้าบอกว่านี่เป็นร้านดัง

5. Pho24

กินเสร็จรู้สึก fail กับร้านในลิสต์ร้านแรก เลยขอเดินกลับเข้าไปในตลาด Ben Than ซะหน่อย อยากลองแหนมเนืองของที่นี่ดูบ้าง เดินดูๆร้านที่น่าจะพอเข้าท่าเลยจิ้มมาร้านนึงเห็นน่ากินดี + คนนั่งเยอะ แสดงว่าต้องอร่อยแหล่ะน่า

ที่นี่เค้าจะไม่ให้น้ำเรามาแช่ตัวแป้ง แต่เค้าจะกินแป้งแบบแข็งๆยังงี้เลย (แต่เราก็แอบแช่แป้งโดยใช้น้ำเปล่าที่เราดื่มๆกันนี่แหล่ะ แต่พอแช่แล้วเราว่าแป้งออกจะบางเกินไปอยู่นะ) รสชาติหมูอร่อยเลย กินพร้อมเส้นขนมจีน + ผักสดๆของเค้านี่อร่อยมาก

 6. แหนมเนือง

พอกินเสร็จก็เดินอิ่มๆออกมาจากตลาด ฝนยังตกปรอยๆอยู่ แต่ด้วยความอยากกินของหวานตบท้ายเลยตกลงกันว่างั้นเดินต่อไปลองร้านไอศกรีม Kem Bach Dang ที่อยู่ในลิสต์กันต่อเลยแล้วกัน ร้านนี้อยู่บนถนน Le Loi ตัดกับถนน Pasteur  ระหว่างทางเดินผ่านร้านขนมปัง Tours Les Jours รวมทั้ง MOF ทั้งสองร้านหน้าตาดูดีมาก แต่อดใจไว้ก่อนเพราะต้องไปลองไอศกรีมร้านดังตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ก่อน

ไปถึงร้านสั่งไอศกรีมในลูกมะพร้าวโดยไม่ลังเล สั่งเสร็จเค้าจะเอาน้ำกับขนมเหมือนซาลาเปาอบมาวาง ไม่ทานก็ไม่เสียเงิน ถ้าทานกี่ชิ้นก็คิดเงินไปตามนั้น ไอศกรีมมาถึงหน้าตาดูดี มีผลไม้โปะมาด้านบนหลายชนิด ทำให้ตักไอศกรีมทานยากนิดนึง ตัวไอศกรีมรสชาติธรรมดามากๆ ส่วน chocolate syrup ที่ราดมาด้านล่างก็รสชาติเหมือนที่กินตอนเด็กๆ สรุปว่างั้นๆ มีดีที่ presentation น่ะแหล่ะเมนูนี้

กำลังเซ็งๆที่ fail กับลิสต์มา 2 ร้านติดๆกันก็เลยคว้าขนมที่เค้าเอามาวางไว้บนโต๊ะมาลองกินดู เอออร่อยแฮะ! ข้างในเป็นหมูสับ รสดีมาก ค่อยยังชั่วหน่อย 🙂

 7. Kem Bach Dang

จบร้านนี้แล้วฝนก็ยังไม่หยุดตกสักกะที เลยกลับไปโรงแรมอาบน้ำ ดูหนัง พักผ่อนเล่นๆกันจนค่ำ ฝนหยุดละ เลยออกมาเดินเล่นตลาดกลางคืนข้างตลาด Ben Than ตลาดกลางคืนนี้จะมีอยู่ 2 ถนนข้างๆตลาด โดยจะเปิดราวทุ่มกว่าๆหลังจากตัวตลาดปิดตอนหกโมงเย็น ของขายก็จะมีคล้ายๆในตลาด แต่เดินดูง่ายกว่า และเหมือนจะถูกกว่าในตลาดนะ นอกจากของขายแล้วก็มีร้านอาหารน่าทานหลายร้านเหมือนกัน มีพวก seafood เผากันสดๆให้เลือกทานได้ด้วย

แต่คืนนี้เรามี target คือไปเดินเล่นกันที่ย่านฟามงูเหลา (Phạm Ngũ Lão) ที่เค้าว่าเหมือนข้าวสารเมืองไทย โดยจากโรงแรมเดินผ่าน Night Market ข้ามวงเวียน เลี้ยวขวาเดินผ่านสวนสาธารณะ Công viên ไปเรื่อยๆก็ถึง ระยะทางไม่ถึง 1 กิโลเมตร  ย่านนี้จะเห็นพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะ จะนั่งกันอยู่ข้างทาง คือไม่มีโต๊ะ แต่ละคนนั่งกันบนเก้าอี้ที่ฟุตบาทหันหน้าออกหน้าถนนกันเลย ดูง่ายๆบ้านๆดีแฮะ แต่ขอบอกว่าข้าวสารบ้านเราดูดีกว่าเยอะนะ อย่างน้อยก็ดูปลอดภัยกว่า เพราะการเดินบนถนนนี้จะมีมอเตอร์ไซค์ขับตัดไปตัดมา เดินไปต้องคอยระวังไปตลอดเวลา

 

เราเดินสำรวจกันพักนึงก็ไปเจอร้าน Phở Quỳnh ที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ แต่เห็นคนกินกันเยอะ เลยต้องลองหน่อย คนกินเยอะๆก็น่าจะอร่อย และก็อร่อยจริงๆด้วย! ขอบอกว่าเฝอร้านนี้เป็นร้านที่อร่อยที่สุดของการกินเฝอ 3 มื้อในทริปนี้เลย ตัวหน้าหน้า เครื่องเคราก็ดูธรรมดานะ แต่เด่นที่น้ำซุปกับตัวเส้นอร่อยมาก ร้านนี้จะอยู่บนถนน Pham Ngu Lao ตัดกับถนน Do Quang Dao ตรงหัวมุมถนนเลย

 8. Pho Quynh

กินเสร็จเดินกลับไปหาร้านนั่งจิบเบียร์ชิลๆต่อ เลือกร้านที่มีโต๊ะและดูไม่วุ่นวายมาร้านนึง เป็นร้านแนว Mexican สั่งเบียร์เวียดนามมาลอง พร้อม snack เป็น Nacho Cheese with Guacamole Dip ส่วนเปิ้ลหันไปเห็นรถเข็นขายปลาหมึกข้างทาง เลยจัดมาเสริมทัพ รสชาติธรรมดาๆทุกสิ่งอย่าง แต่บรรยากาศพอได้อยู่ จิบเบียร์ไป มองคนเดินผ่านไปมา พร้อม up facebook & line chat กันไปชิลๆ

 9. Pham Ngu Lao

พอเบียร์หมดก็เช็คบิลแล้วก็ไปเดินย่อยแถว Night Market กันต่ออีกพักใหญ่ ก่อนจะกลับไปถึงโรงแรมเกือบเที่ยงคืน แถมยังมีภารกิจตบท้ายวันที่โรงแรมด้วยเบียร์หลายๆยี่ห้อของที่นี่ที่ซื้อตุนแช่ไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายด้วย ส่วนใหญ่เวลาไปแต่ละประเทศเราก็ต้องทดสอบเบียร์ท้องถิ่นของเค้ากันซะหน่อย และจากที่ได้ลองมาน่าจะเกือบทุกแบบ พวกเราสรุปกันว่าเบียร์กระป๋องเขียว (Saigon beer) นี่นุ่มสุดละ จัดเบียร์หมดอีกเกือบครึ่งโหลก็จบวันแรกกันได้ซะที ^^

8 Nov 2013

วันนี้ตื่นมาสายมากเกือบ 11 โมง เพราะเมื่อคืนกว่าจะกลับก็เที่ยงคืนแล้ว แถมยังทดสอบเบียร์ไปหลายๆขนานอีก กว่าจะได้นอนก็ราวๆตี 2 กว่าๆ เช้านี้เลยชวดอาหารโรงแรมไปเลย แต่จริงๆก็ไม่ได้คิดจะกินอาหารโรงแรมอยู่ละ เพราะมีลิสต์ที่ต้องตามเก็บอยู่หลายร้าน ตื่นมาปุ๊บหิวปั๊บเลยรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปหาไรกินดีกว่า โปรแกรมวันนี้คือเดินเที่ยวสถานที่ต่างๆในตัวเมือง ถ้าดูจากลิสต์แล้วก็ไปลองร้าน  Nga Hang Ngon (ชื่อเดิม Quan An Ngon) เลยแล้วกัน เพราะอยู่ย่านที่เราจะไปเที่ยวกันวันนี้พอดี ร้านนี้เราเห็นจากเกือบๆทุกรีวิวตอนหาข้อมูลเลยว่าเป็นร้านใหญ่ อาหารอร่อยทุกอย่าง มีแต่ positive feedback รวมทั้งใน Best Nearby ของ Foursquare ก็ได้ rating ดีมาก เพราะงั้นเลยพลาดร้านนี้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

ร้านอยู่บนถนน Pasteur จากโรงแรมอยู่ในระยะที่สามารถเดินไปได้ อยู่ที่นี่ใช้ GPS ให้เป็นประโยชน์ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ง่ายมาก ข้อดีของการมาโฮจิมินห์คือสถานที่สำคัญๆแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกัน ทำให้เราไม่ต้องใช้รถในการเดินทางเลย ใช้วิธีเดินนี่แหล่ะ ง่ายที่สุดละ ได้ย่อยอาหารไปด้วยในตัว และไม่ต้องกลัวจะถูก taxi โกงให้เจ็บใจด้วย

เดินมาถึงหน้าร้านตอนประมาณเที่ยงพอดีๆ มีคิวรอหน้าร้านอยู่บ้าง แต่ใช้เวลารอแค่แป๊บเดียว พนักงานก็พาเดินขึ้นไปนั่งบนชั้น 2 ระหว่างทางก็จะเดินผ่าน line อาหารที่เค้าจะทำให้เห็นกันสดๆ ดูน่ากินทุกอย่างเลย

ดูเมนูแล้วก็จินตนาการไม่ออก ได้แต่เดาจากส่วนผสม บวกกับขอคำแนะนำจากพนักงานที่ร้าน สุดท้ายก็ได้  ขนมเบื้องญวน (Banh Xeo), ปอเปี๊ยะทอด, ข้าวหน้าหมูย่าง+ไข่เจียวเวียดนาม มาลองชิมกัน ซึ่งก็อร่อยทุกอย่าง  เป็นร้านแรกที่ทำให้ไม่ผิดหวังจริงๆ

 10. Quan An Ngon

พออิ่มจากของคาวแล้วเกิดอาการอยากได้ของหวาน พร้อมๆกับอยากทดลองกาแฟเวียดนามสักหน่อย เดินเลี้ยวขวาออกจากร้าน Quan An Ngon ตรงมาไม่ไกลจะเจอร้าน Highlands Coffee ที่เห็นมีหลายสาขา เพราะงั้นน่าจะโอเคในระดับนึง ลองร้านนี้เลยแล้วกัน

ร้านบรรยากาศค่อนข้างดี โปร่งนั่งสบาย มีทั้ง Zone Indoor & Out door แต่ขอนั่งข้างในล่ะกัน เพราะอากาศค่อนข้างร้อน สั่งกาแฟเย็นเวียดนาม ด้วยความอยากลองกาแฟแบบ traditional, Caramel Coffee with Jelly และ Caramel Cheesecake สรุปว่ากาแฟเย็นเวียดนามไม่อร่อยเลย เราว่ามันเข้มจัดแบบไร้สาระมาก กินแล้ว fail T-T ส่วน Caramel Coffee ก็ดีขึ้นมาเยอะ เพราะมีความหวานของคาราเมลเข้ามาช่วย แต่ที่กินแล้วอร่อยเลยคือ Caramel Cheesecake ถึงตัวหน้า Caramel ออกจะหวานหน่อย แต่ก็ตัดกับความขมของกาแฟเย็นได้ดีมาก ที่สำคัญคือตัวชีสเค้กเนียนมาก ชอบเลย

11. Highlands Coffee

จบทั้งของคาว-หวานแล้วก็ไปเที่ยวกันได้ซะที  เริ่มมากางแผนที่ดูกันเลยว่าตอนนี้เราอยุ่ที่ไหน จะไปที่ไหนก่อนดี แล้วก็สรุปกันได้ว่าจะเริ่มจากทำเนียบอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Independence Palace or Reunification Palace: Dinh Thống Nhất)  เพราะอยู่ใกล้กับร้าน Highlands Coffee ที่อยู่ ณ ตอนนั้นมากที่สุด พอออกจากร้านก็พึ่ง Google Maps นำทางไป

พอไปถึงจุดหมายปลายทาง ก็ไปซื้อตั๋วค่าเข้าชมคนละ 30,000 VND ก่อนจะเข้าไปบริเวณด้านใน พอเข้าไปด้านหน้าจะเจอกรุ๊ปทัวร์พอสมควร บริเวณทางเข้าด้านหน้าจะเป็นลานสนามหญ้ากว้างๆ มีทางเดินทอดยาวไปสุ่ตัวอาคารซึ่งอยู่ด้านในซึ่งมีความสูงประมาณ 4 ชั้น เดินเก็บรายละเอียดทีละชั้นกว่าจะขึ้นไปจนถึงชั้นสุดท้ายเล่นเอาหอบเล็กน้อย

ทำเนียบอดีตประธานาธิบดี

ชั้นแรก: จะเป็นพวกเป็นห้องจัดเลี้ยง ห้องโถงใหญ่ เพื่อไว้ใช้ สำหรับการบรรยายสรุปประจำวันทางทหาร ในระหว่างช่วงก่อนที่รัฐบาลเวียตนามใต้จะถูกโค่นล้ม
ชั้นที่สอง: เป็นห้องรับรองของประธานาธิบดีตรันวันเฮือง และห้องรับรองของประธานาธิบดีเทียว ซึ่งประกอบไปด้วยห้องรับรองต่างๆ ห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร และห้องสวดมนต์แบบคาทอลิค ซึ่งการตกแต่งส่วนใหญ่จะออกในแนวผสมผสาน แบบเวียดนามและแบบจีน
ชั้นที่สาม: เป็นห้องรับรองของภริยาประธานาธิบดี (แต่ตอนที่ไป ไม่ได้เปิดให้บริการ -_-”)
ชั้นที่สี่: เป็นห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัว ห้องสันทนาการต่างๆ และลานจอดเฮลิคอปเตอร์
หลังจากนั้นเราก็เดินลงมาเรื่อยๆ จนไปโผล่ชั้นล่างสุด ซึ่งจะเป็นห้องชมวีดีโอ รวมทั้งรวบรวมภาพถ่ายสมัยสงคราม และประวัติความเป็นมาของชาวเวียดนามที่ดูแล้วค่อนข้างหดหู่

พอเดินออกมาจะทะลุมาด้านหลัง ที่เป็นเหมือนสวนสาธารณะที่ให้ประชาชนมาใช้ออกกำลังกายหรือพักผ่อนหย่อนใจได้ เดินอ้อมวนออกมาด้านหน้าเจอรถถังจอดอยู่เลยขอเก็บภาพคุ่กับรถถังไว้หน่อย

12. ทำเนียบอดิตประธานาธิบดี
จากหน้าทำเนียบ ข้ามถนนมา เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงโบสถ์นอร์ธเธอดาม (Saigon Notre-Dame Basilica) เป็นอีกแห่งนึงที่นักท่องเที่ยวต้องมาดู ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีส้ม ดุเด่นเป็นสง่า มองเห็นแต่ไกล ส่วนด้านหน้าโบสถ์เป็นรูปปั้นสีขาวของพระแม่มารี ภายในโบสถ์จะมีที่กั้นไม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าไปในส่วนของที่นั่งภาวนาได้ เราเลยต้องถ่ายรูปจากด้านนอกเท่านั้น

13. Notre Dame

เยื้องๆกับโบสถ์คือไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office) เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่มาก เดินเข้าไปด้านในนึกว่ามาชานชลาสถานีรถไฟ 555++ ที่นี่ก็มีบริการเหมือนไปรษณีย์ทั่วไป มี currency exchange, โทรศัพท์ระหว่างประเทศ แถมมีร้านขายของที่ระลึกอีกต่างหาก ดูครบวงจรใช้ได้เหมือนกันแฮะ

14. Postal Office

จากไปรษณีย์ก็เดินต่อกันไปที่ จัตุรัสโฮจิมินห์  (Ho Chi Minh Statue) จาก Main Post Office เดินมาประมาณ 500-600 เมตรก็ถึง

ที่นี่ถือว่าเป็นใจกลางเมืองโฮจิมินห์ โดยจุดสังเกตจะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีกับเด็กๆ ตั้งอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นสภาประชาชน (people’s Committee Building) ที่สร้างในสไตล์ฝรั่งเศส ตรงนี้เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางการค้าเลย เพราะรอบๆเป็นโรงแรมระดับห้าดาว รวมถึงศูนย์การค้าระดับ premium และ shop brand name อีกเพียบ

ถ่ายรูปกันสักพักก็เดินต่อไปที่ Opera House  ที่นี่มีการแสดงอยู่ตลอด สามารถซื้อบัตรเข้าไปดูกันได้

15. Opera House

นั่งหอบแฮ่กอยู่ตรงที่นั่งฝั่งตรงข้าม Opera House นี่พักนึง ก่อนจะคุยกันว่าอยากไปเดินดูพวกเสื้อผ้า กระเป๋า เอาไปเป็นของฝากกลับเมืองไทยสักหน่อย ไหนๆที่นี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นตลาดของก๊อปแล้วก็ต้องไม่พลาดสำรวจตลาดอย่างจริงจัง จุดหมายต่อไปจาก Opera House เราก็เลยว่าจะไปเดินดูของที่ Saigon Square กันต่อ

บริเวณด้านหน้า Saigon Square จะมีขายกล้วยทับแห้งๆเอาไว้กินเล่นอร่อย เพลินดี ปึกนึงขาย 50,000 VND ใครชอบอะไรกล้วยๆก็แนะนำให้ลองซื้อมากินเล่นดู โพสลง social เพื่อนๆที่เมืองไทยอยากลองกินกันเยอะเลย เสียดายขนกลับไม่ได้ เพราะมันแตกหักค่อนข้างง่าย เลยได้แต่ชิมแทนเพื่อนๆ ^^

ที่ Saigon Square นี่ก็เหมือน Platinum บ้านเรา มี 2 ชั้นครึ่ง คือชั้นหนึ่ง ชั้นลอย และชั้น2 ร้านค้าส่วนใหญ่ จะเป็นพวกกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เวลาเดินดู สนใจอะไรก็ต่อไปเลย 60-70% จากราคาที่เค้าบอกมา ยกเว้นที่เค้าบอกว่าเป็น Fixed Price นั่นคือต่อไม่ได้แล้วแน่ๆ อย่างพวกเป้ก๊อป North Face, Samsonite, Deuter นี่คุณภาพดีเลย บางรุ่นจะมี 2 grade ให้เลือกด้วย แบบก๊อปเกรด A, B

สุดท้ายเดินไปเดินมาก็รู้สึกว่าของก็ไม่ค่อยแตกต่างจากตลาด Ben Than เท่าไหร่ แต่ที่นี่มีดีตรงที่เดินง่ายกว่า เป็นห้องแอร์ ซอกๆทางเดินกว้างกว่า คนไม่เดินชนกันไปมา แต่ราคาเราว่าที่ตลาด Ben Thanh ถูกกว่าถ้าต่อดีๆ แต่ถูกสุดนี่ต้อง Night Market เลย ต่อกันมันส์สะใจมาก 555++ (บางร้านต่อราคาลงมาได้ 70% เลยนะ)

16. Saigon Square

แล้วก็เริ่มหิว เย็นนี้ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ จัดเมนูเฝอที่ยังค้างอยู่ในลิสต์อีก 1 ร้าน คือ Pho2000 ที่ดังเพราะมีอดีตประธานาธิปดีของอเมริกา Bill Clinton เคยมา ตัวร้านอยู่ใกล้ๆกับ Pho24 ที่มากินในวันแรก  ด้านล่างจะเป็นร้าน Coffee Bean & Tea Leaf โดยถ้าจะทาน Pho2000 ต้องเดินขึ้นไปชั้น 2 นั่งปุ๊บก็สั่งเหมือนเดิม เฝอไก่ และเนื้อ รสชาติเราว่าอร่อยกว่า Pho24 อยู่เยอะนะ สรุปว่าระหว่าง 2 ร้านดังนี่เลือก Pho2000 แต่ถ้าไม่ติดว่าต้องชิมร้านดังก็ไปลองร้าน local ร้านอื่นๆเลยน่าจะดีกว่า

17. Pho2000

กินเฝอเสร็จราวๆหกโมงนิดๆ อยากเดิน Night Market ต่อนะ แต่ตลาดเค้ายังลงแผงกันไม่เสร็จเลย กว่าจะเสร็จก็จะราวๆทุ่มกว่า เลยคิดว่าหาไรติดไม้ติดมือกลับไปกินต่อ & พักเหนื่อยที่โรงแรมก่อนละกัน เพราะก็อยู่ใกล้ๆแค่นี้
ว่าแล้วมาที่นี่ก็ยังไม่ได้ลองขนมปังฝรั่งเศสของเค้าเลย ตอนไปที่ลาวกินแล้วชอบมาก มาถึงที่นี่ก็ต้องลองสิ ว่าแล้วก็เดินเข้าร้านขาย Banh Mi ที่อยู่แถวข้างทางนั่นแหล่ะ ชี้ๆๆไส้ที่กินได้ ก็ได้มาอันนึง (ที่นี่ใส่หมูแดงเป็น 1 ในไส้ด้วยนะ อร่อยดีแฮะ)
ยังไม่พอ เดินผ่านร้านข้าวเหนียวหลายๆสี ดูน่ากินดี เลยสั่งมากล่องนึง 50,000 VND แพงเหมือนกันแฮะ พอคิดว่าอยู่เมืองไทยเราซื้อพวกข้าวเหนียวคล้ายๆกันแบบนี้อาจจะกล่องละ 20-30 บาท แต่นี่ 75 บาทเลยนะ หรือเค้าคิดราคานี้เพราะเราเป็นคนต่างชาติ? พอดูตอนที่พ่อค้ากำลังทำ ด้วยความเข้าใจว่ารสชาติข้าวเหนียวสีๆมันจะออกหวานๆเหมือนข้าวเหนียวมูลบ้านเรา พอจะใส่น้ำตาลเลยบอกว่าไม่ต้องใส่หรอก พอกลับมาทานเท่านั้นแหละ!!! มันไม่ใช่อย่างที่คิดนี่นา รสชาติจะออกเค็มๆ แปลกๆ เลยต้องไปหาน้ำตาลมาโรย พอโรยเรียบร้อยรสชาติถึงได้โอเค ก็จะรสชาติประมาณข้าวเหนียวหน้าปลาแห้งบ้านเรานั่นแหล่ะ

18. ขนมปังเวียดนาม & ข้าวเหนียวหลายสี

นั่งกินไปดูหนังรอเวลาไป พอราวๆสองทุ่มเราก็ไปเดินเล่นที่ Night Market กันต่อ บรรยากาศตอนกลางคืนที่เริ่มมีลมเย็นพัด เดินเล่นได้สบายมาก แม่ค้าที่นี่หลายๆคนก็อัธยาศัยดีมาก และค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัว แบบว่าเดินมาจับแขน เดินมาเรียกเข้าร้านอะไรกันแบบนั้นเลย แหม่ถ้าแม่ค้าร้านไหนสวยๆก็โอฯนะ  😛

เดินเล่นซื้อของ ต่อราคาเพลินมาผ่านไปหลายชั่วโมงจนห้าทุ่ม ได้ของฝากเรียบร้อยกำลังคิดว่ากลับดีกว่า แต่ดันเกิดหิวขึ้นมาซะงั้น ไม่คิดมาก จัดหมูย่าง-ไก่ย่าง ข้างทางระหว่างทางเดินกลับโรงแรมซะเลย อยากบอกว่าอร่อยมากๆ ที่เวียดนามนี่พวกของย่างเค้าอร่อยทุกร้านเลยแฮะ แล้วทำไมพวกหมูปิ้ง ไก่ย่างที่เมืองไทยมันรสชาติไม่เข้มข้น & นุ่มเท่าที่นี่หล่ะเนี่ยะ! อ่อ ร้านข้างทางที่นี่เค้าจะนั่งโต๊ะแบบเตี้ยๆกันนะ เหมือนนั่งยองๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ XD กินอิ่มเรียบร้อยกลับไปนอนได้สักที เข้าโรงแรมเกือบเที่ยงคืนอีกตามเคย ใช้เวลาคุ้มจริงๆ 555++

19. ข้าวหมูย่างหน้าตลาด

 

9 Nov 2013
วันนี้ก็ตื่นมาสายเหมือนเดิม จะ 11 โมงแล้ว ก็เลยอาบน้ำ แต่งตัว pack ของให้เรียบร้อย แล้วก็ไปcheck-out และฝากกระเป๋าที่โรงแรมไว้ก่อน เครื่องออกตอน 6 โมงเย็น ก็กะว่าจะมาเอากระเป๋าที่โรงแรมขึ้น taxi ไปสนามบินราวๆ 3:30-4:00PM โปรแกรมวันนี้เลยมีแค่เก็บตกของกินที่เล็งๆไว้ + ซื้อของฝากน้องที่ทำงานเพิ่ม ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินอะไรดีสำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ เลยใช้ feature “Best Nearby” ใน FourSquare ดู เจอร้าน Mon Hue อยู่ใกล้ๆ Rating ดีมากๆ ไม่คิดมาก ลองเลยแล้วกัน

เมนูของร้านนี้แล้วดูไม่ค่อยคุ้นตาเราเท่าไหร่ เพราะร้านนี้เป็นอาหารสไตล์ Hue (เวียดนามกลาง) เลยลองสั่งอะไรที่คิดว่าทานได้แน่ๆมาลองสัก 2 อย่างก่อน ถ้ารสชาติไม่โดนค่อยไปกินร้านอื่นต่อ ก็ได้มาเป็นเส้นหมี่หมูย่าง กับข้าวผัด + ไก่ยัดไส้
สำหรับเราเราว่าอร่อยทั้ง 2 จานนะ คือเราเป็นคนกินง่ายอยู่ละ แต่สำหรับเปิ้ลอาจจะยังไม่โดนเท่าไหร่ เลยไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มที่ร้านนี้

20. Mon Hue
ออกจากร้าน Mon Hue ก็เดินข้ามถนนมาหาของกินต่อที่ตลาด Ben Thanh ไม่ต้องคิดมากว่าจะกินร้านไหน เพราะเล็งร้านข้าวหน้าหมูย่างไว้ตั้งแต่วันแรกละ เพราะร้านนี้ดูวุ่นวายตลอดเวลา ท่าทางจะอร่อย ไอ้เราก็เดินๆไปด้อมๆมองๆดู พูดภาษาเวียดนามไม่ได้ พนักงานก็พูดอังกฤษไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีชี้ๆเอาแทน ก็ได้มากินสมใจ รสชาติอร่อยเลย เสียดายตรงที่มันไปหน่อยเท่านั้นแหล่ะ เราสั่งข้าวเกรียบปากหม้อจากร้านข้างๆมากินด้วย อร่อยเหมือนกัน สรุปว่าอาหารในตลาดนี่เท่าที่กินมาอร่อยใช้ได้ทุกอย่างเลยนะ ไม่แพงด้วย ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาหาอะไรทานในตลาดนี่ก็โอเคเลย

21. ข้าวหมูย่าง & ข้าวเกรียบปากหม้อในตลาด

จบอาหารคาวไปแล้ว แต่ร่างกายยังต้องการของหวานอยู่ เลยนึกถึงร้าน MOF ขึ้นมาได้ เดินผ่านตั้งแต่วันแรกตอนที่เดินไป Kem Bach Dang บนถนน Le Loi ระหว่างทางเดินผ่านร้านขนมปัง Tours Les Jours อยู่ก่อนถึง MOF นิดเดียว ก็เลยเข้าไปแวะซื้อขนมปังที่ติดอันดับของทางร้านมาลองชิม สรุปว่าอร่อยมาก อร่อยกว่าพวก Yamazaki, Breadtalk บ้านเรา แถมราคาถูกกว่าด้วย อยากให้มาเปิดสาขาในบ้านเราบ้างจัง แต่กาแฟลาเต้ที่สั่งมาจากร้านนี้รสชาติก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี สรุปว่ากาแฟเวียดนามนี่ไม่โดนจริงๆแฮะ แต่คนที่ชอบกาแฟเข้มมากๆอาจจะชอบ พอดีเราชอบแบบกลมกล่อมนุ่มนวลเลยขอบายดีกว่า

22. Tous Les Jours

ซื้อขนมปังเสร็จแล้วก็เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงร้าน MOF ละ ร้านนี้เป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่น นอกจากของหวานพวกเค้ก, ไอศกรีม, วาฟเฟิล แล้วก็ยังมีอาหารด้วย ส่วนใหญ่ก็จะเน้นอาหารญี่ปุ่น มีทั้งราเมน, แกงกะหรี่, steak, bento เสียดายที่กินมาจนอิ่มแล้ว เพราะเมนูอาหารที่นี่ดูน่ากินมาก สุดท้ายเลยได้แต่สั่งของหวานมาชิม ซึ่งใน set จะเป็น waffle มาพร้อม soft cream ที่ topping ด้วยไซรัปรสมะม่วง กับผลไม้หลายๆชนิดๆ
หน้าตาดูดีมากแต่ทานแล้วรสชาติธรรมดาๆ คือไม่ได้แย่ แต่ไม่ดีเท่าที่คาดไว้ รสชาติและราคาระดับนี้ ร้านของหวานในเมืองไทยอร่อยกว่าเยอะนะ

23. MOF

นั่งเล่นอยู่ร้านนี้พักใหญ่ๆ จนเกือบได้เวลาก็ค่อยๆเดินย่อยกลับโรงแรม ไปเอากระเป๋า ขากลับไปสนามบินนี่พวกเราเลือกใช้บริการรถ Taxi บ้าง แล้วจริงๆคือขากลับกระเป๋าค่อนข้างหนักจากบรรดาของฝากด้วย

จากหน้าโรงแรมที่พัก มี Taxi แทบจะตลอดเวลา ให้พนักงานของทางโรงแรมเรียกให้เลย ได้รถของ Vinasun ก็เป็น Taxi มิเตอร์นี่แหล่ะ ออกจากโรงแรมราวๆ 16:00 นั่งแท็กซี่ไปราวๆ 20-25 นาทีก็ถึงสนามบิน รถไม่ติดอาจจะเพราะเป็นวันเสาร์ด้วยหรือเปล่านะ ถึงสนามบินแบบมีเวลาเหลือสบายๆจ่ายค่ารถไป 7 USD (ถ้าให้ทางโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้จะโดนชาร์จค่าบริการ 10,000 VND)

พอเข้ามาในสนามบิน พวกเราก็เดินตัวปลิวผ่านที่เช็คกระเป๋าเข้าไป immigration ของที่นี่เลย เพราะ print boarding pass & ทำ web check-in มาจากเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว … แต่สรุปว่าใช้ไม่ได้!! ทางตม.ไล่ให้ออกไป print boarding pass ที่ counter ของสายการบินมาแทน พวกเราเลยต้องเดินกลับออกไปทางเดิม เพื่อไปออก boarding pass  ที่ counter ของ Air Asia  ดีที่เผื่อเวลาไว้ และวันนี้คิวที่ counter ของ Air Asia ก็แทบไม่มี เลยไม่ต้องลุ้นอะไร

หลังจากได้ Boarding Pass เรียบร้อยแล้วก็กลับมาผ่านด่านตรวจกระเป๋าอีกรอบ แล้วก็ต่อด้วย immigration คราวนี้ผ่านฉลุยไม่มีปัญหาอะไรละ จริงๆตอนแรกแอบหวั่นใจเล็กน้อยเหมือนกัน เพราะไม่ได้โหลดกระเป๋า แต่คาดว่ากระเป๋าของพวกเราแต่ละใบเกิน 7 kg แน่ๆ (ทาง Air Asia allow ให้น้ำหนักกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องไม่เกิน 7kg) เพราะมีของที่ได้จากการช้อปปิ้ง 3 วัน งอกมาจนเต็มกระเป๋าลากเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

ภายในของตัว terminal มีร้าน duty free กับร้านขายของให้เดินเล่นฆ่าเวลาได้อยู่บ้าง ส่วนใครหิวก็สามารถเดินขึ้นไปด้านบนอาคารได้ มีร้านอาหารให้เลือกหลายร้านเหมือนกัน

24. Hochiminh Airport

ด้วยความที่ flight ของเราออกตอน 18:00 เราเลยเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่แถวนี้อีกพักใหญ่ๆเลย แล้วก็ยังอุตส่าห์ได้ขนมกลับไปฝากน้องๆที่ทำงานเพิ่มอีกนะ คือพอดียังเหลือเงิน VND อีกนิดหน่อย ไม่อยากเอากลับไปแลกแล้ว ใช้ให้หมดไปเลยดีกว่า

เดินเล่นพักนึงก็ไม่รู้จะดูอะไรแล้ว เลยไปนั่งพักรอขึ้นเครื่องที่หน้าเกทเพื่อรอเวลากลับกทม. เครื่องบินของ Air Asia FD2795 ออกตรงเวลา 18:00 ไม่มีดีเลย์ ถึงกทม.ตอน 19:20 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ข้อดีของการที่ไม่โหลดกระเป๋าอีกอย่างนอกจากประหยัดแล้วก็คือ พอเครื่องจอดปุ๊บ เราก็เดินตัวปลิวออกมาเลย ไม่ต้องรอโหลดกระเป๋า

และแล้วทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ก็จบลงด้วยดี ถือเป็นทริปชิลๆอีกทริปนึงที่ไม่ต้องเหนื่อยอะไรมาก ถ้าคิดง่ายๆเหมือนเปลี่ยนที่กินเที่ยวจากในประเทศเป็นต่างประเทศโดยที่ราคาไม่หนีกัน

ว่าแล้วก็มาลองคิดง่ายๆดูว่าเวลาเราไปเที่ยวในประเทศใกล้ๆอย่างหัวหิน โรงแรมที่พอจะโอเคหน่อยก็จะราวๆ 2500-3000 บาทต่อคืน ถ้า 2 คืน ตีไป 6000 บาท ค่าน้ำมันไป-กลับ กทม.-หัวหิน ประมาณ 1200-1500 บาท ยังไม่รวมค่ากิน ซึ่งในหัวหินก็จะค่อนข้างแพงใช่ย่อย รวมๆแล้วค่ากินเฉลี่ย 2 คน สำหรับทริป 3 วัน 2 คืนมีไม่ต่ำกว่า 3000 บาทแน่ๆ ลองคิดๆดูไปเที่ยวหัวหิน 2 คืน ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำๆราวๆ 11,000 บาท โดยเฉลี่ย
ลองมาคิดดูสำหรับทริปเวียดนามนี่บ้าง ค่าใช้จ่ายหลักๆสำหรับ 2 คนตามนี้ ไม่รวมพวกของฝาก
– ค่าตั๋วเครื่องบิน + โรงแรม 2 คน = 8400 บาท
– ค่ารถบัสจากสนามบินเข้าเมือง 2 คน = 30 บาท
– ค่าแท็กซี่กลับสนามบิน 7USD = ประมาณ 220 บาท
– ค่ากิน & ค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดโดยประมาณ 3000 บาท
– รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 11650 บาท
สรุปว่าราคาพอๆกันระหว่างไปเที่ยวหัวหิน กับไปเที่ยวโฮจิมินห์ (แต่ต่างกันตรงที่ไปโฮจิมินห์เรียกได้ว่าไปเที่ยวต่างประเทศนะเอ้า XD)
จริงๆแล้ว feeling ที่ได้มันก็จะคนละแบบอ่ะนะ แต่บางทีการที่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ เห็นวัฒนธรรมที่ต่างจากของเรา ได้เห็นโลกกว้างมากก็ได้ความรู้สึกดีๆที่ต่างออกไป
ทริปนี้ต้องขอบคุณ Air Asia เหมือนเดิมที่ออกโปรฯดีๆมาให้เก็บตลอด ปีนี้เกือบทุกทริปใช้บริการของ Air Asia เกือบหมด save cost ไปได้เยอะจนทำให้นิสัยเสีย เวลาดูราคาตั๋วแบบปกติของ Air Asia หรือ low cost airline อื่นก็จะกลายเป็นแพงไปซะแล้ว ทั้งๆที่ก็ถือว่าถูกกว่าสายการบินที่ไม่ใช่ low cost แล้วอ่ะนะ 555++

ข้อสรุปทริปนี้
1. เมืองโฮจิมินห์ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ แต่เหมาะสำหรับคนที่ชอบช้อปปิ้งของก๊อปมาก เพราะของก๊อปที่นี่คุณภาพดีและถูก มีให้เลือกเยอะ
2. อาหารอร่อยของที่นี่ ขอยกให้เป็นพวก grilled dish เช่น หมูย่าง ไก่ย่าง รสชาติเข้มข้นดีจริงๆ
3. ร้านขนมที่นี่ จากที่ลองร้านดังๆมาหลายร้าน ก็ไม่โดน ร้านขนมดังๆตามห้างในเมืองไทย รสชาติและคุณภาพดีกว่าเยอะ
4. กาแฟที่นี่ไม่เหมาะกับคนที่ชอบกินกาแฟรสกลมกล่อม เพราะกาแฟเวียดนามเข้มและแรงมาก
5. Pho24 & Pho2000 อันโด่งดัง รสชาติงั้นๆ ถ้าจะไปกินอย่าคาดหวังมาก ลองร้าน Local อาจจะโดนใจกว่า
6. ร้านอาหารในตลาด Ben Than อร่อย ไม่แพง พึ่งพาได้
7. การข้ามถนนที่นี่ ให้ดูพอมีจังหวะก็เดินข้ามไปเลย ถ้ารอให้รถหยุดจะไม่มีทางได้ข้ามแน่
8. การซื้อของที่นี่ให้ต่อราคาไปก่อน 60-70% เลย ยกเว้นร้านที่บอกว่า fixed price ทริคคืออย่าทำเป็นอยากได้ของมาก ถ้าต่อแล้วเค้าบอกไม่ได้ให้ทำหน้า “I don’t care” เดินออกจากร้านไปเลย เดี๋ยวบรรดาแม่ค้าจะยื้อยุด & อ้อนวอนเราเอง
9. ที่นี่ไม่มี 7-11 นะ อยากซื้อน้ำ-ขนมเดินเข้าร้านโชว์ห่วยได้เลย
10. 3G ของ Vinaphone กลายเป็น edge ค่อนข้างบ่อย คราวหน้าถ้ามาจะลอง Mobiphone บ้าง
11. ขากลับเผื่อเวลาไว้หน่อย เพราะต้องมาออก boarding pass ที่ counter สายการบิน boarding pass ที่ print ตอนทำ web check-in ใช้ไม่ได้

Update: และจากการที่ไปเที่ยวกลับมาครั้งนี้เราก็ได้ทำ iBooks ขึ้นมากับบริษัท ibook-publisher เป็นหนังสือนำเที่ยวแบบ interactive มีให้ใช้งานได้บน ipad ที่คุยกับพี่เอ๋&พี่ตฤณเจ้าของบริษัทไว้ก็คือเราจะลองทำแบบขำๆเอาไว้ดูเป็นผลงานก่อน และเป็นการเปิดตัวเรากะเปิ้ลในฐานะนักเขียนก่อน แต่สุดท้ายตอนที่คลอดออกมาก็แอบภูมิใจกับมันเหมือนกันนะ ^^

Comments